Transformers: Rise of the Beasts เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นนิยายวิทยาศาสตร์อเมริกันปี 2023 ที่สร้างจาก กลุ่มของเล่น ทรานฟอร์เมอร์ ของ Hasbro และได้รับอิทธิพลหลักจากแฟรนไชส์ย่อย Beast Wars เป็นภาคที่ 7 ของซีรีส์ภาพยนตร์ Transformers และทำหน้าที่เป็นทั้งภาคต่อของ Bumblebee (2018) และภาคก่อนของ Transformers (2007) ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับกำกับโดย Steven Caple Jr. จากบทภาพยนตร์โดย Joby Harold, Darnell Metayer, Josh Peters, Erich Hoeber และ Jon Hoeber Michael Bay รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างอีกครั้ง นำแสดงโดย Anthony Ramos และ Dominique Fishback รวมถึงผู้พากย์เสียง Ron Perlman, Peter Dinklage, Michelle Yeoh, Pete Davidson, Liza Koshy, Michaela Jaé Rodriguez, Colman Domingo, Cristo Fernández, Tongayi Chirisa และผู้ที่กลับมารับสิทธิพิเศษอย่าง Peter Cullen จอห์น ดิมักจิโอ และเดวิด โซโบลอฟ เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1994 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตผู้เชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ทางทหาร โนอาห์ ดิแอซ และนักวิจัยสิ่งประดิษฐ์ เอเลนา วอลเลซ ในขณะที่พวกเขาช่วยออโต้บอทส์และแม็กซิมัลส์ปกป้องสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่ากุญแจ Transwarp จาก Terrorcons ผู้ชั่วร้ายการถ่ายภาพหลักเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงตุลาคม พ.ศ. 2564 โดยมีสถานที่ถ่ายทำ ได้แก่ ลอสแอนเจลิสเปรู มอนทรีออล และนิวยอร์กซิตี้
Transformers: Rise of the Beasts เปิดตัวครั้งแรกที่มารีน่า เบย์ แซนด์สในสิงคโปร์เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 และเข้าฉายในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566 โดยพาราเมาท์ พิคเจอร์ส ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการวิจารณ์ที่หลากหลายจากนักวิจารณ์ และแม้จะทำรายได้ 439 ล้านดอลลาร์ทั่วโลกเทียบกับงบประมาณการผลิต 195–200 ล้านดอลลาร์; มันเป็นความผิดหวังทางการเงินและเป็นภาคที่ทำรายได้ต่ำที่สุดในแฟรนไชส์ซึ่งไม่สามารถคุ้มทุนในการฉายละครได้
Transformers นั้นเป็นจุดที่จำได้เสมอ เพราะมันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของตัวละครหลัก ๆ ในเรื่อง เช่น ฉากที่หุ่นยนต์บัมเบิ้ลบี (Bumblebee) ก้าวออกมาจากความสูงของโฟล์กสวาเกนและกลายเป็นรถมัสเซิลเท่ ๆ แบบ Chevrolet Camaro ใน Bumblebee (2018) นั่นเองครับ ถ้าจะพูดถึงความจำที่ยาวนานก็อาจจำได้ไม่ครบทุกเหตุการณ์ แต่ทุกคนต่างยอมรับว่า ฉากสุดท้ายของแฟรนไชส์นี้เป็นจุดที่โดดเด่น และมีความสำคัญในใจของผู้ชมได้เสมอ แม้จะเคยดูหลายครั้งแล้วก็ตามครับ
หลังจาก Transformers (2007) ภาคแรกเข้าฉายแล้ว ในภาคต่อ ๆ มา มันก็เริ่มเปลี่ยนไปนิดหน่อย นะครับ หนังสงครามหุ่นรบแนวแอ็กชันที่เต็มไปด้วยการระเบิดแบบที่ตื่นตาตื่นใจ แบบป๋าไมเคิล เบย์ (Michael Bay) มีการผสมกลิ่นอายของหนังครอบครัวแบบเบา ๆ ซึ่งเป็นสไตล์ของสตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ทำให้เกิดเป็นหนังหุ่นรบที่มีฉากภาพสวยงามและเอฟเฟกต์ที่ยอดเยี่ยม แต่กลับมีบางส่วนที่ร่วงโรย มีการขายเรื่องไปในทางที่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ มีมุกตลกที่ไม่น่าขำ และตัวละครบางตัวก็ไม่ค่อยมีเสน่ห์ ซึ่งทำให้เส้นเรื่องมักจะกลายเป็นโอนุกรมโกโหลสับสน ไม่แน่ใจว่าจะจับเอาเนื้อเรื่องไหนมาจำจริง ๆ (แม้ว่า Bumblebee จะมีบางส่วนที่ดูไม่ค่อยตรงไปตรงมา แต่ก็ยังดูได้เพลิน ๆ ) ครับ
แน่นอนว่า ด้วยคำวิจารณ์ที่ไม่ดี และการเพิ่มทุนสร้างในแต่ละภาค แต่ก็ทำให้รายได้มันลดลง (แม้ว่าค่ายก็ยังทำรายได้เยอะอยู่นะ) ในช่วงเวลานั้น เทรนด์หนังเรื่องซูเปอร์ฮีโรก็กำลังพุ่งขึ้นอย่างมาก แฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ก็ตามไปขยายตัว (บางทีแม้แต่เรื่องฉายผิดบ้าง) ด้วยความพยายามที่แต่งตัวเป็นอย่างหน้าผาก ในปีนี้ ก็มาถึงคราวของ Paramount Pictures ที่ขุดขึ้นมาปัดฝุ่นซีรีส์นี้อีกครั้งในรอบ 6 ปี ใน ‘Transformers: Rise of the Beasts’ หรือ ‘ทรานส์ฟอร์เมอร์ส: กำเนิดจักรกลอสูร’ ซึ่งภาคนี้จะทำหน้าที่เป็นทั้ง Sequel และภาคต่อจาก ‘Bumblebee’ และยังทำหน้าที่เป็น Hard Reboot รีเซตจักรวาลใหม่อีกด้วยที่จะมีเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาคต่อจาก ‘Transformers: The Last Knight’ ที่เป็นภาคที่ 5 และซึ่งก็ไม่ใช่ภาคต่อที่แท้จริงแต่อย่างใด
Transformers: Rise of the Beasts ยังคงมีการนำเสนอจาก 2 ป๋าผู้ให้กำเนิดและจุดความสำเร็จให้กับแฟรนไชส์นี้ในอดีต ทั้งสปีลเบิร์ก และป๋าเบย์ ที่ยังคงมานั่งแท่นโปรดิวเซอร์ใหญ่ครับ ส่วนเก้าอี้ผู้กำกับ ได้แฟนเดนตายทรานส์ฟอร์เมอร์ สตีเวน เคเปิล จูเนียร์ (Steven Caple Jr.) ผู้กำกับหนังมวย Creed II (2018) มานั่งแท่นรับหน้าที่ โดยในภาคนี้ แฟน ๆ Transformers คงคุ้นอยู่แล้วว่า ตัวหนังได้แรงบันดาลใจเรื่องราวเกี่ยวกับหุ่นจักรกลฟอร์มสัตว์ป่า จากแอนิเมชันสามมิติ Beast Wars: Transformers (1996–1999) มาอยู่ในรูปแบบหนัง Live Action เป็นครั้งแรก ซึ่งน้อง ๆ อาจจะไม่คุ้นชื่อ แต่คนอายุแถว ๆ 30 ปีขึ้นน่าจะคุ้นกับการ์ตูนเรื่องนี้ ตอนเอามาฉายออกอากาศทางช่อง 7 บ้างแหละครับ
ในปี 1994 หลังจากเหตุการณ์ใน ‘Bumblebee’ ประมาณ 7 ปี ณ เมืองบรูกลิน นิวยอร์ก เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่ออดีตนายทหารหนุ่มเชื้อสายลาติน โนอาห์ ดิแอซ (Anthony Ramos) ต้องการหางานเพื่อช่วยเหลือแม่ บรีนนา ดิแอซ (Luna Lauren Velez) และน้องชาย คริส ดิแอซ (Dean Scott) แต่กลับไม่พบงานไหนที่รับเขา บางวันโชคชะตาพาเขาไปพบกับ มิราจ (Pete Davidson) รถยนต์ Porsche 964 Carrera RS 3.8 สีเงินที่คาดแถบน้ำเงินอย่างมีเสน่ห์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ่นรบออโตบอตที่อาศัยอยู่บนโลก ร่วมกับ ออปติมัส ไพรม์ (Peter Cullen) หุ่นรบหัวรถบรรทุกหัวลาก Freightliner FLA ปี 1987 ที่เป็นหัวหน้าของกลุ่ม อาร์ซี (Liza Koshy) ที่เป็นหุ่นรบสาวซิ่ง Ducati 916 และตะน้อนบัมเบิลบี Chevrolet Camaro สีเหลือง-ดำคนดีคนเดิม ซึ่งกำลังมองหาทางกลับไปยังดาวไซเบอร์ทรอนในที่สุดครับ
ในขณะเดียวกัน เอเลนา วอลเลซ (Dominique Fishback) นักโบราณคดีสาวที่ทำงานในพิพิธภัณฑ์โบราณคดี พบเจอสิ่งลึกลับที่นำพาไปสู่ความลับของทรานสวอป คีย์ (Transwarp Key) ซึ่งเป็นกุญแจที่สามารถเปิดประตูไปยังมิติต่างๆ ทั่วจักรวาลได้ ฝ่ายออโตบอตต้องการควบคุมกุญแจนี้เพื่อให้ยูนิครอน (Coleman Domingo) สิ่งมีชีวิตมหึมาสามารถเดินทางไปกลืนกินดาวทั่วทั้งจักรวาลได้ เพื่อต่อต้านการล้างล้างของอสูรยูนิครอน จึงได้ส่งสเกิร์จ (Peter Dinklage) ลิ่วล้อผู้มีความโหดร้ายมาตามล่า ในขณะเดียวกัน, แอเรเซอร์ (Michelle Yeoh) หุ่นรบอินทรี ตัวแทนของเผ่าแม็กซิมัล, พาเอเลนาและเพื่อนๆ ออกตามหาเหล่าแม็กซิมัลรุ่นสุดท้ายที่อาศัยอยู่ในป่าแถบประเทศเปรู เพื่อหวังหยุดยั้งยูนิครอนและปกป้องโลกจากการถูกกลืนกินไปโดยอสูรยูนิครอน
มีหลายท่านที่มองว่า Rise of the Beasts เป็นภาคต่อของ Bumblebee แต่ก็มีผู้อื่นที่มองมันเป็น Soft Reboot หรือ Hard Reboot อีกด้วยครับ ทั้งนี้เพราะว่าภาคนี้นำเอาองค์ประกอบเดิมมาเล่าผ่านตัวละครใหม่ อย่างที่เคยมีในภาค 4 และ 5 หรือแม้กระทั่งวางเส้นทางเรื่องเพื่อหลีกห่างจากจักรวาลป๋าเบย์เอง และจริง ๆ แล้ว ตัวหนังภาคนี้ยังคงใช้โครงสร้าง วิธีคิด กลิ่นอาย และวิธีการเล่าเรื่องบางอย่างจากจักรวาลป๋าเบย์มาอย่างเต็มที่ หลายคนที่ดูก็คงนึกถึงภาคแรกได้เลยครับ เพราะภาคนี้มีความคล้ายคลึงกับภาคแรกมากๆ โดยเฉพาะเรื่องเด็กชายกับสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ทำให้นึกถึง E.T. อย่างแม้แต่เล็กน้อย แต่คงไม่มีสาวเซ็กซี่อีกเท่านั้นครับ
ต้องยอมรับว่า Rise of the Beasts มีความพยายามในการตีความและปรับปรุงแฟรนไชส์ Transformers ใหม่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างมากครับ โดยเฉพาะการปรับดีไซน์หุ่นรบใหม่ เช่น การปรับหุ่นไพรม์ให้คล้ายกับเวอร์ชันการ์ตูน (G1) และการปรับคาแรกเตอร์ของหุ่นรบ ซึ่งเดิมจะมีความห่างไกล แต่ในภาคนี้ก็ถูกเปลี่ยนให้ใกล้ชิดมนุษย์มากขึ้น มีความเป็นมนุษย์และมีความรู้สึกนึกคิดมากขึ้นด้วย เช่น ออปติมัส ไพร์มที่มีลักษณะหน้าตาเหมือนหัวหน้าจอมหัวร้อน และมีการพูดที่เป็นเบียดเบียวมากๆ อย่างที่พูดว่าเข้าใจไหมนะ แล้วก็มิราจที่พีท เดวิดสัน จับบทพูดได้อย่างยากลำบากและยากมากๆ ซึ่งตัวหนังพยายามให้มิราจกลายเป็นเพื่อนกับมนุษย์และตั้งเส้นเรื่องมิตรภาพกับโนอาห์ เหมือนที่เคยมีในภาคก่อน ซึ่งมิราจก็เลยกลายเป็นตัวจี๊ดตัวตึงและมีบทบาทสำคัญมากในภาคนี้ ทำให้มีผู้ชื่นชอบมากๆ และแทบไม่จำเป็นต้องดู Bumblebee มาก่อนเพื่อที่จะเข้าใจเนื้อเรื่องของภาคนี้ได้ครับ
อีกจุดที่เราคิดว่าหลายคนคงรู้สึกไม่น้อยกับภาคนี้แน่ ๆ แหละครับ ก็คือบรรดาฉากแอ็กชันเลยครับ ซึ่งถ้าจะพูดตามความจริง ภาคนี้ก็ยังคงมีความเป็น Bayhem อยู่นิดหน่อยนะครับ ตามอิทธิพลโปรดิวเซอร์อยู่ดี แต่สิ่งที่ต่างอย่างชัดเจนก็คือ ภาคนี้เป็นหนังสเกลกลาง ๆ ที่ไม่ได้เน้นการระเบิดใหญ่โตแบบเค้าเผากระท่อมเลยครับ โดยเฉพาะในฉากแอ็กชันที่ตั้งชื่อว่าไคลแม็กซ์ ซึ่งถือว่าสนุกและท้าทายอย่างมาก แต่อาจจะขาดฉากที่มีการต่อสู้หรือกระแทกกระฉูดเยอะมากเกินไป ถ้าใครชอบความเน้นการกระแทกกระฉูดทะลุตึก ระเบิดรถ ก็อาจจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อไปหน่อย แต่ถ้าใครชอบเรื่องราวที่ไม่ต้องเน้นการแอ็กชันมากนัก แต่มีความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรกลิ่นนิดหน่อย ๆ แบบนี้ก็อาจจะรู้สึกว่าตื่นเต้นและสนุกกว่าฉากแอ็กชันใน Bumblebee มากๆ แล้วครับ แม้ว่าภาคนี้จะเห็นบางซีนที่ CGI ไม่ค่อยเสถียรบ้าง เป็นช่วงดีแล้วเป็นช่วงหลุดบ้าง แต่ก็ยอมรับได้ครับว่ามันยังมีความน่ายอมรับได้นะครับ
เรื่องบทส่วนใหญ่ถึงมาจากที่ผู้เขียนตีความใหม่อย่างไม่เลวเลยและสดใหม่ แต่ถึงแม้ว่าฉันจะเชื่อว่ามันมีพอสมความแข็งแกร่งที่จะให้ไปต่อได้อีกหลายภาค แต่โครงสร้างหลักๆ ก็ยังไม่สามารถปฏิเสธได้จริงๆ ว่า พล็อตของเรื่องก็ยังคงไม่มีอะไรที่แปลกใหม่อย่างนั้น แม้ว่าการเล่าเรื่องจะพยายามวางจุดพลิกล็อกให้ได้ลุ้นตลอดทาง แทรกเรื่องราวแบบหนังสยองขวัญ หรือมุกตลกบางๆ และเพลงฮิปฮอปยุค 90s ที่ผู้กำกับเลือกมาเอง ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีในภาคก่อนๆ แต่โครงสร้างบทและพล็อตโดยรวม ก็ยังคงเล่าเรื่องตามแบบฉบับ Transformers จ๋าๆ ไม่มีการปรับเปลี่ยนมากนัก
ตัวหนังยังคงเล่าเรื่องด้วยพล็อตภารกิจการตามหาสิ่งของล้ำค่าของไซเบอร์ทรอเนียน เพียงแต่ว่าภาคนี้มีการเพิ่มบทให้มนุษย์เข้าไปมึส่วนร่วมกับภารกิจมากขึ้นอย่างชัดเจน ไม่มีทหารหรือกองทัพมาคอยยุ่มย่ามแล้วก็ไม่พยายามทำให้ออโตบอตมีความเก่งขั้นเทพเหมือนภาคก่อนๆ ด้วย แต่มีเส้นเรื่องที่ทำให้ออโตบอตรู้จักแพ้เป็น มีปมฝังใจ มีช็อตที่หมดหวังแบบขั้นสุด ทำให้ตัวหนังมีกลิ่นอายหนังแอ็กชันผจญภัยล่าสมบัติสูตรสำเร็จแบบ Indiana Jones ที่ซัดกันด้วยเส้นเรื่องและแอ็กชันแบบตรงๆ เน้นๆ และมีพาร์ตดราม่าที่เดาไม่ยาก เน้นดูสนุกเพลินๆ ไม่มีเส้นเรื่องรองผีบ้าผีบอ ไม่มีอาการตัดต่อเวียนหัว ดูไม่รู้เรื่องว่าใครตีกับใครเหมือนภาคก่อนๆ
แต่ก็มีจุดสังเกตเกี่ยวกับบทเรื่องอีกเช่นกันนะครับ จุดที่ผู้เขียนเห็นว่าหนังภาคนี้ยังไม่ได้เป็นไปตามที่ควรนักก็คือการเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง คน-คน, คน-หุ่นยนต์ และหุ่นยนต์-หุ่นยนต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกนำเข้ามาในภาพยนต์เพื่อเติมเต็มให้กับเรื่องราวและทำให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อไม่ให้หนังดูแข็งทื่อเหมือนเป็นนิทานเดิมๆ โดยเฉพาะคู่หู โนอาห์-มิราจ ที่เป็นตัวเติมสีสันให้กับภาพยนต์ให้มีความสนุกและน่ารักมากขึ้น แต่ความยาวของหนังประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ทำให้มันดูสั้นไปเมื่อต้องการแสดงความสัมพันธ์ในแบบลึกๆ ของตัวละครและความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ อย่างที่ ‘Bumblebee’ ได้ทำ ซึ่งมันกลายเป็นบรรยากาศของความสัมพันธ์ที่เบาบางไม่สามารถชวนให้คนรู้สึกอินและอิ่มเอมได้เท่าที่ควรอย่างที่หนังต้องการให้ผู้ชมรับรู้
อีกจุดหนึ่งที่ต้องสังเกตคือเรื่องของการกระจายบทบาทครับ โดยเฉพาะอย่างแรงเป็นจุดเสียดายที่สุด ก็คือทุกๆ คนในหนังอย่างทั่วไปจะเอาเผ่าแม็กซิมัลมาโชว์ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นหลักของภาคนี้เลย และจริงๆ แล้ว นักรบทุกคนในเผ่าแม็กซิมัลก็ถือเป็นเท่และเก่งขั้นเทพทั้งหมดนะครับ แต่เสียดายที่หนังไม่ได้โชว์ฝั่งของพวกเขาให้ละเอียดมากกว่านี้ และเมื่อพวกเขาร่วมทีมกับออโตบอตตอนต่อสู้สุดท้าย เรื่องก็กลายเป็นการที่ทำให้แม็กซิมัลบางตัวมีบทบาทน้อยลงจนแทบจะกลายเป็นบทสมทบจืดๆ ไปเลย ไม่เพียงแค่นั้นยังมี Plot Hole ที่พอดีที่โผล่ออกมา และการตัดสินใจของตัวละครบางตัวที่อาจจะมีเหตุผลแต่ก็ยังขาดความชัดเจนบ้าง ซึ่งผู้เขียนอาจจะคิดถึงเหตุผลออกมา แต่ก็ยังไม่ได้เน้นที่จะอธิบายถึงเหตุผลอย่างเพียงพอนะครับ
การตีความที่สดใหม่ (ภายใต้โครงร่างสูตรสำเร็จ) ของหนังภาคนี้ แม้จะยังไม่ถึงขั้นเพอร์เฟกต์ ด้วยหลาย ๆ องค์ประกอบที่ยังมีจุดบกพร่อง แต่ก็น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้หลายคนที่เคยอ่อนใจ ปลง เอือมระอา หมดศรัทธา หรือแม้แต่กระทั่งหลงลืมแฟรนไชส์นี้ไปแล้ว ให้ลองเปิดใจหันกลับมาดูได้อีกครั้ง ดราม่าและพาร์ตความสัมพันธ์อาจไม่จับใจเท่า Bumblebee ความออริจินัลมันสะใจ ความอลังการ ความ Beyhem อาจไม่วินาศสันตะโรเท่าภาค 1 แต่ก็สัมผัสได้ว่า ตัวแฟรนไชส์เองมีความพยายามที่จะหาสูตรใหม่ๆ ให้กับหนังแบบที่แคร์คนดูมากขึ้น ไม่พยายามตีหัวเข้าบ้านเหมือนที่เคยทำมา ทำให้แฟรนไชส์นี้ดูน่าสนใจ พอจะมีทรง มีทิศทางให้ไปต่อได้อีกยาวๆ ไม่ใช่แค่เอาหุ่นยักษ์มาตีกันเลอะๆ เทอะๆ มุ่งแต่ขายของเล่น ขายซีจีเท่าภาค 4 และ 5 เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต