เพิ่งดู “Salt and Fire” เสร็จสดๆ ร้อนๆ แล้วนะครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มาพร้อมกับซีนเด็ดๆ ตามสไตล์บล็อกบัสเตอร์ แต่มันเป็นหนังที่พยายามผสานระหว่างเรื่องราวสิ่งแวดล้อมกับดราม่า ซึ่งเรื่องราวมันเกิดขึ้นรอบๆ หนึ่งในภูเขาไฟที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก และถ้าคุณคาดหวังความระทึกขวัญแบบขอบเก้าอี้ บอกเลยว่าอาจจะต้องคิดใหม่
หนังที่นำเสนอผ่านมุมมองของ Werner Herzog ที่ไม่เคยหวั่นไหวต่อการท้าทายในหนังของเขา เป็นหนังที่พูดถึงความสัมพันธ์ยุ่งยากระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่เต็มไปด้วยศัพท์ทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา แต่ในเวลาเดียวกัน Herzog ก็ไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องราวของตัวละคร ทำให้เป็นหนังที่ตั้งคำถามที่ใหญ่กว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การดำรงอยู่ของมนุษย์บนโลก หรือความรับผิดชอบทางศีลธรรมที่เรามีต่อโลกที่เราอยู่
Herzog เลือกที่จะส่งสารผ่านการเดินทางและการเผชิญหน้ากับปัญหาที่น่าสะพรึงกลัวของ Laura ผ่านท้องที่ที่รกร้างและสวยงาม ซึ่งสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างความงามกับภัยคุกคามที่มนุษย์สร้างขึ้นมา พื้นที่ลุ่มน้ำที่แห้งแล้งในหนังคือสัญลักษณ์ของผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์ที่ไร้ความรับผิดชอบ และ Herzog ใช้วิธีการเล่าเรื่องของเขาเพื่อดึงดูดความสนใจและผลักดันให้ผู้ชมคิดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เราทุกคนต้องเผชิญ
การที่ Herzog ทั้งกำกับและเขียนบทหนังเอง มีลักษณะเฉพาะที่ชัดเจนและแตกต่าง หนังไม่ได้เล่าเรื่องราวด้วยจังหวะที่รวดเร็วหรือสร้างความตื่นเต้นแบบหนังแอ็คชั่นทั่วไป แต่กลับเลือกที่จะค่อยเป็นค่อยไป ให้พื้นที่กับการแสดงออกทางอารมณ์และสร้างบรรยากาศที่ทั้งลึกลับและขัดแย้ง แม้ว่าอาจไม่ได้สร้างรายได้พุ่งทะลุหลักสิบล้านเหมือนหนังบล็อกบัสเตอร์ส่วนใหญ่ แต่มันก็เป็นหนังที่ให้รายละเอียดและความซับซ้อนที่ยากจะหาจากหนังธรรมดาทั่วไป Herzog มักจะเลือกทางเดินของเขาเองในการสร้างหนัง และก็แสดงให้เห็นถึงเส้นทางนั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัยครับ
เริ่มต้นด้วยการแนะนำ Laura Sommerfeld (รับบทโดย Veronica Ferres) ผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับมอบหมายให้ไปตรวจสอบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทว่าสิ่งที่เธอพบไม่ใช่เพียงภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิด แต่เธอและทีมงานของเธอถูกจับตัวโดยกลุ่มซึ่งนำโดย Matt Riley (รับบทโดย Michael Shannon) จากนั้น Laura ถูกพาไปยังเกลือทะเลที่กำลังแห้งขอดในบอลิเวีย ซึ่งเป็นผลพวงจากสถานการณ์ทางธรรมชาติและมนุษย์ ในขณะที่เธอและทีมงานต้องต่อสู้และหาทางรอดจากสถานการณ์นี้ ภาพยนตร์เริ่มหักมุมและเผยให้เห็นว่า Matt มีเหตุผลลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการกระทำของเขา Laura พบว่าตัวเองกำลังต่อสู้กับเวลาขณะที่ความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์เริ่มปรากฏขึ้น คำถามเริ่มถูกวางลงบนโต๊ะเกี่ยวกับความรับผิดชอบของบริษัทและผู้นำต่อการปกป้องธรรมชาติ
“Salt and Fire” ของ Werner Herzog มันเป็นหนังที่เข้าถึงยากในช่วงแรกๆ บอกตรงๆ คือเราเริ่มด้วยเบื้องหลังที่ค่อนข้างช้าและบทสนทนาที่หนักแน่นด้วยศัพท์วิชาการ ซึ่งอาจทำให้บางคนหงุดหงิดเลยทีเดียว แต่ถ้าคุณมองข้ามสิ่งนั้นไปได้ คุณจะเห็นเรื่องราวที่พยายามจะส่งผ่านระดับความลึกของข้อความและวิถีที่ตัวละครต้องเผชิญ Matt Riley แสดงออกมาได้ดีพอๆ กับบทที่เขาได้รับ ให้ความรู้สึกที่ซับซ้อนและบางครั้งก็ขัดแย้งระหว่างตัวละครกับทางเลือกของเขา ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ Laura Sommerfeld นำเสนอให้เห็นว่าความเป็นมนุษย์และความมุ่งมั่นยังคงอยู่ได้แม้ใต้ความกดดันที่รุนแรง
หนังเรื่องนี้อาจจะขาดจังหวะที่จะทำให้จิตใจของคุณกระชุ่มกระชวย มันเน้นชวนให้คุณขบคิดมากกว่า เรื่องราวไม่ได้โฟกัสไปที่การพาคุณผ่านการเดินทางแอ็คชั่นที่ตื่นเต้น แต่เลือกที่จะใช้วิธีการที่มีระเบียบและเนิบนาบ ดำดิ่งไปในความสัมพันธ์และปัญหาทางจริยธรรมที่ส่วนลึกของปัญหาสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ทำให้น่าสนใจคือมันไม่ใช่แค่การถ่ายทำเรื่องราวของภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่เป็นการสำรวจจิตใจของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอาศัยอยู่ การแสดงออกของตัวละครต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นและวิธีที่เรื่องราวถูกนำเสนอนั้นให้โอกาสให้ผู้ชมได้พิจารณาถึงความหมายของการอยู่ร่วมกันบนโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
ผมคิดว่าหนังออนไลน์เรื่องนี้มีช่วงเวลาที่น่าสนใจและการถ่ายทำที่น่าสังเกต แต่มันก็มีจุดที่ดูเหมือนจะห่างเหินและไม่ค่อยเข้าถึงผู้ชม อาจจะไม่เหมาะกับคอหนังที่ชอบความกระชับและการเล่าเรื่องที่ตรงไปตรงมา อย่างไรก็ดี ถ้าคุณพร้อมสำหรับการเดินทางที่ต้องใช้ความคิดและอารมณ์ มันก็เป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างไม่เหมือนใครครับ
หลังจากดู Salt and Fire จบ ต้องบอกตามตรงเลยว่ามันเป็นหนังที่ยากจะจับต้นชนปลายได้ชัดเจน ครับ หนังของ Werner Herzog ทีไรมันก็มักจะเป็นแบบนี้ล่ะ มีส่วนผสมของสิ่งที่เข้มข้น มีความสูงของศิลปะ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะกินขายของแนวนี้ได้ มันพยายามจะเป็นหนังที่มีสาระ พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม และมีฉากสวยๆ ของทะเลเกลือที่บอลิเวีย ซึ่งทำให้มันดูเด่นชัดและแปลกตา Michael Shannon เขาแสดงได้ดีตามเคย เป็นพระเอกที่มีชั้นเชิง และดึงดูดใจได้ ส่วน Veronica Ferres ก็ทำหน้าที่ของเธอได้ดี แต่คาร์แรกเตอร์ของเธอบางทีก็ดูไม่สมเหตุสมผลซักเท่าไหร่ บางแง่มุมของเรื่องราวก็ดูเหมือนจะโดนบังคับให้เกิดขึ้นมากจนเกินไป และสำหรับผมมันทำให้หนังดูขาดความเป็นธรรมชาติ
ความจริง Herzog เขาไม่ได้ตั้งใจทำให้เป็นหนังที่คนดูไปเพื่อความสนุกสนานระดับพื้นผิว มันคือหนังที่คุณต้องคิดตาม เป็นหนังที่ต้องการให้คุณไตร่ตรองถึงความหมายที่ลึกกว่า และในจุดนี้ผมว่ามันทำได้ดีเลยทีเดียว แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นแฟนของหนังที่มาพร้อมกับข้อคิดหรือเป็นหนังที่ต้องใช้ความคิดมากเกินไป หนังเรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับคุณนัก โดยรวมแล้วเป็นหนังที่มีจุดเน้นที่น่าสนใจ ผสมผสานวิจารณ์สังคมและคำถามทางศีลธรรม แต่ก็เป็นหนังที่แต่ละคนอาจได้รับความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ใครที่ชอบหนังที่ท้าทายความคิด อาจจะพบว่ามันเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าต่อการค้นหาครับ