หลังได้เห็นเธอขโมยซีนไปใน Batman v Superman Dawn of Justice จนหลายเสียงต่างบอกว่าเป็นหนึ่งในส่วนที่ดีที่สุดของหนัง ครั้งนี้ก็ถึงเวลาแล้วครับ ที่สาวแกร่งอย่าง Wonder Woman จะออกมาเฉิดฉายในหนังเดี่ยวของตัวเองที่พวกเรา MODE MOVIE ขอบอกเลยว่าเสน่ห์ล้นสุดๆ หลังผู้กำกับแมนๆ อย่าง Zachary Edward Snyder และ David Ayer ไม่สามารถพาเหล่าตัวละครจาก DC ไปถึงจิตใจเหล่านักวิจารณ์ได้
คราวนี้ก็เลยถึงทีของ Patricia Lea Jenkins ผู้กำกับหญิงเจ้าของหนังดีกรีออสการ์อย่าง Monsters มาคว้าตำแหน่งผู้กำกับหญิงคนแรก ที่ได้ทำหนังซุปเปอร์ฮีโร่กับเรื่องราวของ Diana Prince เจ้าหญิงแห่งเกาะเทอมิสกีร่า ที่อยู่มาวันหนึ่งก็มีชายหนุ่มรูปงามเครื่องบินตกมายังเกาะ เขาคนนั้นไม่ใช่ใครนอกจาก Steve Trevor สายลับรูปหล่อผู้มีข้อมูลลับที่อาจหยุดสงครามโลกได้ ด้วยอุดมการณ์ที่ถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็ก Diana Prince ตัดสินใจพา Steve Trevor กลับสู่กองทับและก้าวสู่แนวหน้าของสงคราม โดยไม่รู้เลยว่าพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเธอนั้นทำได้มากกว่าแค่หยุดสงคราม
ย้อนกลับไปใน Batman vs Superman เราได้เห็นภาพของ ไดอาน่า พริ้นซ์ ในยุคสาวแกร่งผู้ไร้เทียมทาน แต่ใน วันเดอร์วูแมน เธอคนนี้ยังเป็นเพียงแค่เด็กสาวไร้เดียงสา ผู้นอกจากจะไม่รู้ว่าโลกมนุษย์จริงๆ แล้วเป็นอย่างไง เธอยังไม่รู้ด้วยว่าพลังของเธอนั้นแกร่งขนาดไหน หัวใจของวันเดอร์วูแมนจึงเป็นการเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงของ ไดอาน่า บนเส้นทางสู่การเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ของเธอ
ถ้ามองภาพรวมๆ แล้ว เรื่องราวของวันเดอร์วูแมน ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากหนังกำเนิดฮีโร่เรื่องอื่นๆ มากมายครับ แต่ด้วยความที่ตัวละครนี้ยังไม่เคยมีหนังมาก่อน ความสดใหม่เลยมีพอสมควร แถมผู้กำกับ Patricia Jenkins ก็สามารถนำพลังของความ เฟมินิสต์ (feminism) และ โรแมนติก (Romanticism) มาอยู่ในหนัง Superhero ได้อย่างลงตัวและร่วมสมัย
การต่อสู้ของไดอาน่า จึงเป็นมากกว่าแค่การใช้พละกำลัง แต่ยังมาพร้อมกับอุดมการณ์เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ ที่ไม่ได้ดูยัดเยียดเหมือนหนังสิทธิสตรีหลายเรื่องที่ทำกันมา อย่างไรก็ดีหนังก็ไม่ได้หม่นหมองหรือเครียดไปกับประเด็นที่ว่ากันมาขนาดนั้น
เพราะวันเดอร์วูแมน เปี่ยมไปด้วยสีสันและมุกตลกแบบที่เล่นสนุกกับความคิดเรื่องสองแง่สองง่ามได้อย่างน่ารักน่าชัง ซึ่งจุดนี้เอง ต้องขอชมเคมี Gal Gadot และ Chris Pine ที่เข้าได้อย่างลงตัวจนทำให้ซีนโรแมนติกดูหวานกว่าหนังฮีโร่เรื่องอื่นๆ และส่งผลต่ออารมณ์ช่วงท้ายของเราสุดๆ ด้านฉากแอ็คชั่นก็ทำได้มันสมกับที่ทุกคนรอคอย แม้จะดูตูมตามไม่ต่างจาก Zachary Snyder แต่ Patricia Jenkins ก็ได้ใส่ความอ่อนช้อยในทุกกระบวนท่าของไดอาน่าลงไปด้วย ส่งผลให้ฉากแอ็คชั่นของ วันเดอร์วูแมน ดูสวยงาม และมีเหตุผลที่จะใช้สโลโมชั่นมากกว่าหนัง DC 3 เรื่องที่ผ่านมาเยอะเลยครับ
เช่นเดียวกับ Final Battle ที่นอกจากจะใหญ่ยักษ์ตามมาตรฐานแล้ว ตัวละครทั้งสองก็ไม่ได้เพียงโยนข้าวของใส่กัน แต่ยังมีการปะทะกันระหว่างอุดมการณ์ของกันและกันอีกด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้องชมทั้ง Patricia Jenkins และ Gal Gadot ที่ไม่ทำให้ วันเดอร์วูแมน ดูเป็นเพียงแค่วัตถุทางเพศที่ดูสนุกลูกกระตาเหมือนฮีโร่หญิงตัวอื่นๆ แต่เธอทั้งสองสามารถดึงความสง่างามน่าเทิดทูนและเปี่ยมไปด้วยความหวังของตัวละครนี้ให้เฉิดฉายได้อย่างที่ควรจะเป็น
Wonder Woman คือบทเรียนสำคัญแก่ค่ายหนัง ที่เข้าใจผิดมาตลอดว่าหนังฮีโร่หญิงนั้นขายไม่ได้ เพราะตัวละครนำเป็นผู้หญิงทั้งๆ ที่จริงๆแล้วก่อนหน้านี้มันไม่เวิร์คเพราะค่ายหนังหน้ามืดตามัว ปล่อยให้คนที่ไม่เข้าใจตัวละครมาทำหนังชะมากกว่า โชคดีครับที่วันเดอร์วูแมนอยู่ในมือของคนทำที่ใช่ และนักแสดงที่โดน หนังก็เลยออกมา Wonderful ยังงี้ไงครับ และถ้าใครสนใจต้องการดูเธอคนนี้สามารถรับชมได้ทันที่ที่ modemovie.com ของเรา