Spider Man No Way Home มีการกำกับโดย จอน วอตส์ มีความยาว 2 ชั่วโมง 28 นาที นำแสดงโดยทอม ฮอลแลนด์ ในบทของ Spider-Man หรือปีเตอร์พาร์กเกอร์ ร่วมกับเซ็นเดยา ที่รับบทเป็น MJ และ เจค็อบ บาเทลอน ในบทเพื่อนสนิทของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ หนังนี้เป็นผลงานร่วมระหว่างค่ายมาร์เวลและ Sony Studio และนอกจากนี้ยังมี เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ ในบทของหมอแปลกหรือ Dr. Strange ที่ร่วมเข้าร่วมในภาคนี้ด้วย
แน่นอนว่าเราทราบกันดีถึงความสำเร็จที่มาพร้อมกับหนังมาร์เวลล่าสุดเช่น “Spider-Man: No Way Home” มาแล้ว ที่ทำให้เงินพุ่งไปถึงระดับที่น่าทึ่ง สิ่งที่ทำให้หนังนี้ได้รับความนิยมและกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับการตอบรับมากที่สุด อาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างชุดผลงานที่ดีเยี่ยมของ โซนี่ พิคเจอร์ส ที่สร้างให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายได้อีกต่อไป ทุกสิ่งที่ถูกนำมาใส่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นประโยชน์สำหรับผู้ชมอย่างเราทุกคน เพราะไม่รู้ว่า… ต้องรอนานเท่าไหร่ถึงจะได้พบกับประสบการณ์ที่หลงใหลกับภาพยนตร์เหล่านี้อีกครั้งได้
เรื่องราวใน “Spider-Man: No Way Home” ภาคนี้ยับเยินไปมากกว่าที่เคยเป็น มันไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่กับการที่จักรวาลหลังจากภาพยนตร์ของธานอส (Thanos) แล้วเริ่มมีการคืบคลานของบรรดาเหล่าฮีโร่ที่หายตัวไปกลับมา แต่ยังเกี่ยวข้องกับการเปิดเผยตัวตนของไอ้แมงมุม (Mysterio) ที่ทำให้ชีวิตของปีเตอร์ พาร์กเกอร์ (Peter Parker) และคนรักอย่าง เอ็ม.เจ. (MJ) และ เน็ด ลีดส์ (Ned Leeds) ต้องเผชิญหน้ากับความวุ่นวายเหล่านี้ จนถึงขั้นความเป็นส่วนตัวของเขาได้พังดับสลาย ซึ่งไปจนถึงขั้นที่เขาถูกปฏิเสธจากสถาบันการศึกษาอย่าง เอ็มไอที จึงเป็นสิ่งที่ทำให้การตัดสินใจของเขาที่จะไปหา ดร. สเตรนจ์ (Doctor Strange) เพื่อขอความช่วยเหลือ และนี่คือการที่ทำให้เกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่และยุ่งเหยิงในโลกของซูเปอร์ฮีโร่ไปอีกขั้น
ทางที่เลือกได้ก็คือ การใช้เวทมนต์ของหมอแปลก เพื่อทำให้ทุกคนลืมว่า ปีเตอร์ พาร์เกอร์ คือไอ้แมงมุม แม้ว่าเขาเสี่ยงกันไปด้วยความกลัวที่จะสูญเสียเพื่อน คนรัก และคนที่เป็นที่รักใกล้ชิด ปีเตอร์เลยขอให้ยกเว้นบางคนมากมาย จนกระทั่งรบกวนเวทมนต์ และดูเหมือนว่าสเตรนจ์ (Doctor Strange) ก็ไม่อาจสามารถควบคุมได้ในที่สุด
หนังได้เลือกใช้ความเป็นเด็กน้อยของสไปเดอร์แมนอย่างลงตัว ทำให้เราได้รับชมความเป็นมิตรและความใจดีของปีเตอร์ที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาอย่างถาวร การนำเสนอเรื่องนี้เป็นแบบตรงไปตรงมา ไม่มีการใส่ดราม่าที่หนักหน่วงหรือรุนแรงมากเกินไปทำให้ผู้ชมหลายคนหลงใหลและรู้สึกอาจจะน้ำตาไหลได้โดยง่ายในขณะที่ชมหนังนี้ไม่ยากเลย
นอกเหนือจากฉากบู๊และฉากต่อสู้ที่แสดงออกมาเป็นอย่างน่าตื่นเต้นแล้ว การถ่ายทอดเนื้อเรื่องและการต่อสู้ภายในจิตใจของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ระหว่างหน้าที่และความเป็น SpiderMan กับความต้องการที่มาจากใจเขา เป็นการแสดงที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ของเขาได้อย่างลึกซึ้ง เพราะมีความประณีตและซับซ้อนของความใจร้อนในบทบาทของเขา ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ที่เผชิญหน้ากับความเศร้า ความสับสน และความโกรธแค้นเป็นอย่างดี เป็นภาพลักษณ์ของเด็กผู้ชายในวัยมัธยมปลายที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานต่างๆ อันที่จริงทำให้ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ที่มีการแสดงอารมณ์ต่างๆ ในทุกๆ มุมมอง เป็นตัวละครที่น่าสนใจและมีความสมจริง เพื่อนและแฟนของเขาก็เล่นบทบาทอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงแค่บทบาทแบบมุขหรือคำพูดสำเนียงที่เราจะพบเห็นในโลกออนไลน์อีกต่อไป
และสิ่งที่เป็นจุดเด่นของหนังนี้คือการประกอบด้วยมุกฮาๆ ในภาพยนตร์นี้มีการนำมุกฮาและความตลกร้ายมาเป็นพิเศษเมื่อมีมุกมาจากมัลติเวิร์ส ที่นำเสนอบทที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ไอ้แมงมุมทั้งสองเวอร์ชัน มุกเหล่านี้เป็นตัวแทนของความตลกร้ายที่แฟนบอยหลายคนต้องชื่นชมอย่างมาก เป็นการใช้มุกคำพูดและการใส่ซีนที่มีแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เวอร์ชันคลาสสิก ที่แฟนบอยจะชื่นชอบแน่นอน และมีเซอร์ไพรส์อื่นๆ ที่ทำให้ความสนุกของแฟนๆ สไปดีได้ถูกกระตุ้นไปอีกขั้น
โดยรวมทางแอดมินให้คะแนนอยู่ที่ 9/10 เพราะ ‘Spider-Man: No Way Home’ ยังคงคงมาตรฐานของหนังเรื่องฮีโรในสไตล์ของ Marvel ได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้หนังเรื่องนี้ยังเป็นจุดสำคัญสำหรับการเดินทางสู่มัลติเวิร์สอย่างเต็มตัว และเป็นหนังที่แฟนบอย สไปเดอร์-แมน คงไม่ผิดหวังเพราะสร้างความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ที่เปลี่ยนเป็นซูเปอร์ฮีโร่อย่างชัดเจน โดยมีการแสดงถึงการเจริญเติบโตของเขาอย่างชัดเจนได้อย่างยอดเยี่ยม