รีวิวก่อนดู Shazam Fury of the Gods (2023)
เมื่อพิจารณาจากการประกาศของประธานของ DC Studios คือ James Gunn ที่เคยกล่าวถึงทิศทางของภาพยนตร์ที่ต่อเนื่องจากคอมิคของ DC นั่นจะหมายความว่า Shazam! Fury of the Gods อาจจะต้องถูกจัดเรียงในหมวด “ภาพยนตร์ที่ได้รับการสร้างแล้ว” ก่อนที่ Gunn จะมาครอบครองอาณาจักรของ DC โดยแน่นอนว่า อนาคตของฮีโร่มหากาพย์อย่าง ชาแซม จะขึ้นอยู่กับการทำรายได้ที่หนังภาคนี้ทำได้ และจะต้องรอดูว่า ชาแซม จะยังคงเป็นหนึ่งในฮีโร่ที่ยอดเยี่ยม หรือจะกลายเป็นตำนานของซูเปอร์ฮีโรที่เคยถูกสร้างขึ้นเป็นภาพยนตร์ในอดีต
เรื่องย่อ Shazam Fury of the Gods
เรื่องราวของ Shazam! Fury of the Gods เริ่มขึ้นเมื่อสามสาวของเทพแอตลาส คือ Hespera (นำแสดงโดย Helen Mirren), Kalypso (นำแสดงโดย Lucy Liu) และ Antheia (นำแสดงโดย Rachel Zegler) มาถึงโลกของมนุษย์เพื่อค้นหา “เมล็ดพันธุ์” ที่จะช่วยในการสร้างอาณาจักรที่เคยสลายไปของพวกเขาขึ้นมาใหม่
แต่เมื่อ ชาแซม รับบทโดย แซคารี ลีวาย (Zachary Levi) ที่ได้เข้ามาขัดขวาง และครอบครัวของเขา ทำให้ธิดาแอตลาสทั้งสามที่ต้องการที่จะทวงคืนพลังอำนาจแห่งเทพที่เคยถูกขโมยไปและทำลายโลกใบนี้ให้พังทลายสิ้นซาก กลุ่มของฮีโร่ที่เป็นเด็กน้อยทั้งหมดจึงต้องรวมกำลังเพื่อป้องกันโลกของเราจากความเสียหายที่จะทำให้ทุกอย่างถูกทำลาย
สำหรับภาคนี้ เราจะได้พบกับ เฮนรี เกย์เดน (Henry Gayden) ที่กลับมาเขียนเนื้อหาอีกครั้ง โดยให้ คริส มอร์แกน (Chris Morgan) ผู้ที่มีส่วนร่วมในการเขียนภาพยนตร์ Fast and Furious มารังสรรค์บทภาคใหม่นี้ให้ยิ่งใหญ่มากขึ้นและบันเทิงมากกว่าเดิม และต้องยอมรับว่าฉบับของพวกเขาไม่ขาดการสร้างความสนุกสนานความบันเทิงเลย เราจะพบกับทั้งเรื่องราวของเทพปกรณัมกรีก ฮีโร่ที่ยังไม่มั่นใจในตัวเอง มีทั้งเรื่องราวสุดอันอบอุ่นของครอบครัว และมุกตลกที่เต็มไปหมด
ในที่สุด มันก็เป็นหนังที่สร้างความบันเทิงได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะจ่ายค่าตั๋วปกติ 250 บาท หรือจ่ายสำหรับระบบ IMAX ที่ 450 บาท คุณก็ยังจะรู้สึกคุ้มได้มากกว่าที่จ่าย มีการนำใส่มังกรเข้ามา สัตว์ในตำนานของกรีก และฉากการทำแอ็กชันที่ประทับใจด้วยมุขที่ไม่ทำให้คุณเบื่อ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมานั้นเหมือนจะทำให้หนังนี้ไม่สามารถเป็นที่น่าจดจำในความทรงจำได้ชะอย่างงั้น ไม่แน่ใจว่านี่เป็นผลจากการกำกับของ David F. Sandberg หรือการสั่งแก้ที่ได้รับจากสตูดิโอ Warner Discovery
หนังสนุก แต่ยังขาดอะไรไป?
เพราะที่จริง เมื่อพูดถึงองค์ประกอบที่ดี ๆ ที่เราได้กล่าวออกมาแล้วนั้น หนังเพียงแค่ บรรยายให้เราเข้าใจ แต่ไม่ได้ สร้างอารมณ์ให้เรารู้สึก ในระดับใดเลย ซึ่งนั่นก็คือทำไมผมต้องตั้งชื่อบทวิจารณ์นี้ว่า ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างจะเร่งรีบเกินไป? เพราะเพียงแค่ 20 นาทีแรกที่ดูหนังเราก็ได้รู้ทุกสิ่งที่ตัวอย่างหนังได้เสนอไป ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราเห็นฉากทั้งหมดในตัวอย่างนั้น
แต่นั่นก็มีรายละเอียดเอาไว้เพื่อบอกให้เราทราบว่า อ๋อ สามสาวในตัวอย่างนี่ ไม่เพียงแค่โกรธที่อาณาจักรของพวกเขาถูกทำลายไป และต้องการเอาพลังเวทของ ชาแซม กลับคืน ทั้งยังมีการลักพาตัว การดูดพลังของฮีโรทำให้ญาติของ Billy Batson เปลี่ยนเป็นคนธรรมดา และปรากฏการณ์เมื่อเทพปกรณัมตัดสินใจจะทำลายโลกมนุษย์ ฮีโร่ที่กำลังสูญเสียความมั่นใจก็ต้องแก้ปัญหากับวันที่โลกจะถูกทำลายนี้อย่างไร และอื่น ๆ อีกมากมาย
หนังที่อธิบายได้ไม่หมดจนไม่น่าจดจำ
ซึ่งนั่นยังไม่รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับมังกรที่มีความลึกลับอยู่ในเบื้องหลัง ที่ถูกอธิบายแค่สองถึงสามประโยคเท่านั้น พวกสัตว์ในตำนานของกรีกที่พุ่งปรากฏและทำลายโลก เรื่องราวที่อนุญาตให้ญาติของ Billy ได้แสดงความสามารถในรูปยักษ์ที่แท้จริง และที่สำคัญที่สุด คือเรื่องราวของครอบครัว Batson ที่หนังให้เวลาในการสลับบทบาทระหว่าง Asher Angel และ Levi ในรูปแบบของ ชาแซม น้อยเกินไป ทำให้ความหลงใหลในครอบครัวที่เคยเป็นความรู้สึกที่ทำให้หนังภาคแรกน่าทึ่ง ได้หายไปอย่างน่าเสียดายมาก
และเมื่อลองมองจากมุมที่หนังถูกเลื่อนออกจากการฉายถึง 3-4 ครั้ง แล้วถูกกำหนดอย่างแน่นอนในวันที่ 16 มีนาคม สิ่งที่เราคาดหวังว่าจะเป็นเซอร์ไพรส์ใหญ่ในส่วนท้ายของหนังกลับดูเหมือนเราคาดเดาได้ว่ามันจะเกิดขึ้น เนื่องจากหนังถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่ James Gunn จะมีส่วนร่วมทำ และสิ่งที่สำคัญคือ แม้หนังจะมีระยะเวลาให้ความยาวถึง 2 ชั่วโมง แต่มันก็ยังไม่สามารถอธิบายตัวเองได้ในหลาย ๆ แง่มุม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวของ Atlas ที่แต่ละคนมีคาแรกเตอร์ที่อยู่ ๆ ก็ร้าย แต่เรากลับพบว่าเปลี่ยนเป็นคนดีทันที
สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ ภาพยนตร์นี้ได้ละเลยด้านมืดในการเติบโตของ Billy Batson ที่ควรจะเป็นธีมหลักในการเล่าเรื่องราวของภาพยนตร์ภาคนี้ เราไม่ได้เห็นผลที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจบ้าอย่างเด็กของเขาในระดับที่เพียงพอ เฉพาะผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นถึงครอบครัวที่รักษาเขาอย่างดี ในขณะที่เขายังหลงรักในการเป็นฮีโร่ที่เรียกว่า ชาแซม พวกเหล่ากิตติคุณของเขาไม่สามารถทำให้เราประทับใจในเมื่อรองเทียบกับเรื่องราวที่ถูกเล่าในภาพยนตร์ที่ดีเรื่องหนึ่ง
แต่อย่างน้อย เรายังพบกับการแสดงที่ยอดเยี่ยมจาก Jack Dylan Grazer ในบทของ Freddy เพื่อนที่รักของเขาที่ขาพิการ การแสดงของเขานำเสน่ห์และมุมมองเชิงบวกอันสดใสมาที่ผู้ชม ได้เติมความรักให้กับหนังที่มีการต่อสู้ และแอดต้องทำใจว่าเคมีที่มีระหว่าง Grazer และ Rachel Zegler ที่กำลังจะรับบทเป็น Snow White กลับคือสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีชีวิตชีวา และเป็นส่วนสำคัญของเรื่อง
ส่วนใครที่ทำให้การดู Shazam! Fury of the Gods น่าหลงใหลจริง ๆ คือ Grace Caroline Currey ในบทของ Mary Bromfield ที่เขาเป็นพี่สาวคนโตและทุกครั้งที่เธอปรากฎตัวทำให้คุณยิ้มไม่หยุด ในภาคนี้เธอได้บทภาคตัวแทนซูเปอร์ฮีโร่แห่งครอบครัว ชาแซม ที่ในภาคแรกเราได้เห็น Michelle Borth เป็นตัวแทน แม้ว่าบทของเธออาจจะไม่เด่นมาก แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าในขณะที่หนังที่พยายามอัดฉากแอ็กชันรัว ๆ Currey กลับเป็นความสวยงามที่ทำให้ภาพบนจอคุ้มค่าสำหรับการดู
สรุปโดยรวม
รวมทั้งหมด Shazam! Fury of the Gods คือหนังที่สนุกบันเทิง หนังนำเสนอฉากตลกและฉากหวานซึ่งไม่เป็นอันตรายเลย ในทางตรงกันข้าม เรายังได้เห็นฉากแอ็กชันที่ช่างเต็มเปี่ยมที่รับรองว่าอย่างน้อยแฟนบู๊จะไม่ผิดหวัง แต่ประกาศให้ทราบว่าคุณอาจต้องเตรียมตัวสำหรับการบรรยายที่มีลักษณะแบบคล้าย ๆ เรื่องราวที่มีแต่ไม่มีที่มาที่ไปอย่างที่ควร สิ่งที่สำคัญคือควรดูภาคแรกเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวแบบคร่าว ๆ และควรทราบว่าภาพยนตร์มีฉากต่อท้ายที่สำคัญสำหรับทิศทางและอนาคตของ ชาแซม ที่จะตามมา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความบันเทิงที่มันให้คุณมากพอที่คุณไม่ควรพลาด! สามารถรับชมกันได้ที่ modemovie.com