แนะนำ รีวิวหนังออนไลน์ Scream หวีดสุดขีด (2022)

modemovieกุมภาพันธ์ 21, 2024
Scream-2022

หนังชุด Scream ที่กลับมาในครั้งนี้ไม่เพียงแค่เสนอเรื่องราวต่อจากภาคก่อนๆ เท่านั้นนะคะ แต่มันเป็นเหมือนการเริ่มต้นใหม่ของตำนานเหล่านี้อีกครั้งเลยค่ะ! ผลงานนี้ได้รับการกำกับและสร้างสรรค์โดยผู้เชี่ยวชาญอย่างเวส คราเวน ผู้ให้กำเนิดของซีรีย์นี้เองค่ะ ซึ่งเป็นความสุขและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีเขามาอยู่กับเราอีกครั้ง

การกลับมาของหนัง หวีดสุดขีด

การกลับมาของ หวีดสุดขีด ในภาคนี้เป็นการย้อนกลับไปสู่เรื่องราวที่ทุกคนรู้จักและรักมา แต่ก็ไม่ลืมเพิ่มเติมเรื่องใหม่ๆ ให้เข้ามาด้วยค่ะ! มันเหมือนการฟื้นฟูความสดใสให้กับแฟรนไชส์นี้อีกครั้งเลยทีเดียว ด้วยฉากตลกโดนใจและฉากสยองขวัญที่ยังคงทำให้เราตื่นเต้นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับตัวละครหรือฉากไล่ฆ่าที่ท้าทาย ทุกสิ่งในภาพยนตร์เหล่านี้ยังคงเต็มไปด้วยลูกล่อลูกชนชวนตื่นเต้นที่เป็นตำนานได้อย่างเดิมเสมอ

Scream-2022-01

เรื่องย่อ Scream หวีดสุดขีด

ในตำนานสยองขวัญที่ต่อเนื่องหลังจากการฆาตกรรมโหดร้ายที่เมืองวูดส์โบโร (Woodsboro) ที่เข้ามาสร้างความหวาดกลัว เรื่องราวเฝ้ารอเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อ ไอ้หน้าผี (Ghostface) ตัวใหม่ปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิด การล่าล้างความอยู่ในภารกิจแท้จริงของฆาตกรจึงเริ่มแสนจริงจัง และเห็นเลยว่าการกลับมาของ ไอ้หน้าผี นั้นมีความเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมในอดีตเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา ทำให้ 3 เพื่อนที่รอดตายจากมือ ไอ้หน้าผี ในอดีต คือ ซิดนีย์ เพรสก็อต (Neve Campbell), ดิวอี ไรลีย์ (David Arquette) และ เกล เวเธอร์ส (Courteney Cox) ต้องรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อตามล่า ไอ้หน้าผี และนำเสนอเรื่องราวที่มีประวัติศาสตร์ที่สืบเนื่องมาถึงปัจจุบันอย่างสมบูรณ์แบบ

Scream-2022-02

บทวิจารณ์ รีวิวหนัง

ไม่ว่า SCREAM หวีดสุดขีด จะอยู่ในฐานะไหนสำหรับคนดูภาพยนตร์อย่างเรา ๆ มันอาจอยู่ในฐานะของหนังแฟรนไชส์แนวเชือดในตำนานของยุค 90’s มันอาจเป็นเพียงหนังสยองขวัญที่มองข้ามไป หรือไม่ มันก็อาจอยู่ในฐานะมีมตลกใน Scary Movie (2000) แต่ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหน คิดเหมือนกันกับผู้เขียนไหมว่า สุดท้ายแล้วตำนานฆาตกรรมโดยฆาตกรที่อยู่ภายใต้หน้ากากยาง หรือ ไอ้หน้าผี (Ghostface) ที่ยังไง้ยังไงมันก็ไม่ยอมตายไปง่าย ๆ เสียที และในปีนี้ มันกลับมาเชือดเป็นครั้งที่ 5 แล้ว เพียงแต่ว่าไม่ได้ใช้ห้อยท้ายว่าเป็น “ภาค 5” นะครับ แต่ใช้ชื่อว่า SCREAM ทื่อ ๆ เลย เหมือนกับ SCREAM (1996) ภาคแรกที่เป็นตำนานไปแล้วนั่นแหละ

Scream-2022-03

ภาคนี้ถือเป็นการยกเครื่องทีมงานใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเจ้าพ่อหนังสยองขวัญอย่าง เวส คราเวน (Wes Craven) ผู้กำกับทั้ง 4 ภาคจากไปแล้วเมื่อปี 2015 ในภาคนี้เลยได้คู่หูผู้กำกับ แมตต์ เบ็ตติเนลลี-โอลพิน (Matt Bettinelli-Olpin) และ ไทเลอร์ กิลเลตต์ (Tyler Gillett) ที่เคยกำกับ Ready or Not (2019) มาร่วมงาน ส่วนคนเขียนบทหนังทั้ง 4 ภาค และเจ้าของคาแรกเตอร์ดั้งเดิมอย่าง เควิน วิลเลียมสัน (Kevin Williamson) ก็ถอยมาเป็นที่ปรึกษางานสร้าง และแปะมือส่งให้ เจมส์ แวนเดอร์บิลต์ (James Vanderbilt), กาย บูซิก (Guy Busick) ทีมผู้เขียนบทหนังจาก Ready or Not มาเขียนบทให้เช่นเดียวกัน

ใน ‘SCREAM’ ภาคที่ 5 นี้ ตัวหนังยังคงพาเรากลับไปสู่เมืองเล็ก ๆ แสนสงบสุขที่ชื่อว่าวูดส์โบโร (Woodsboro) ที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยวัยรุ่นเจน Z แต่ไม่ว่าจะทันสมัยแค่ไหน ไอ้หน้าผีก็ยังกลับมาก่อเหตุอาละวาดอีกครั้ง หนึ่งในเหยื่อเคราะห์ร้ายก็คือ ‘ทารา’ (Jenna Ortega) น้องสาวของ ‘แซม’ (Mikey Madison) ที่หนีออกไปจากเมืองด้วยเหตุผลบางอย่าง จนเมื่อเธอกลับมา แก๊งเพื่อน ๆ ของทาราจึงเริ่มสงสัยกันเองว่าใครกันแน่ที่เป็นฆาตกร แซมเลยไปขอความช่วยเหลือจาก ‘ดิวอี ไรลีย์’ (David Arquette), ‘เกล เวเธอร์ส’ (Courteney Cox) และแม่บ้านเต็มเวลา อย่าง ‘ซิดนีย์ เพรสก็อต’ (Neve Campbell) เหล่าตัวพ่อตัวแม่ที่เคยกระชากหน้ากาก Ghostface มาแล้ว 4 ภาค เพื่อกลับมากระซวกไอ้หน้าผีอีกครั้งให้จงได้ ก่อนที่มันจะออกไปกระซวกชาวบ้านชาวเมืองไปมากกว่านี้

Scream-2022-04

เอาจริง ๆ แล้ว ตัวหนังนี้ไม่ได้ถึงกับเป็นภาคต่อของ ‘SCREAM 4’ (2011) หรือ 12 ปีที่แล้วนะครับ เพราะแทบไม่มีเหตุการณ์ไหนต่อมาจากภาคนั้นเลยด้วยซ้ำ ในภาคนี้หนังจึงใช้คำว่า ‘Requel’ ที่เป็นลูกผสมของ ‘Reboot’ (หยิบหนังเก่ามาสร้างใหม่) และ ‘Sequel’ (หนังภาคต่อ) แต่เอาจริง ๆ ตัวหนังก็เน้นหนักไปทาง ‘รีบูต’ ซะมากกว่า เพราะตัวหนังในภาคนี้แม้จะมีเรื่องราวใหม่ แต่ก็ยังดึงเอากลิ่นอายและวิธีการเล่าเรื่องมาจากภาคแรกกลับมาใช้งานแบบที่เรียกว่า “โฉ่งฉ่าง” เลยแหละ ไม่ว่าจะเป็นธีมการ ‘รู้ (ไม่) ทันหนังเชือด’ ที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วในภาคแรก

Scream-2022-05

ตัวหนังเลือกใช้การตัดต่อแบบไดอะล็อก

ในภาคนี้ ตัวหนังเลือกใช้การตัดต่อ ไดอะล็อก และมุมกล้องในการสับขาหลอกเพื่อปั่นหัวทั้งตัวละครและคนดูอย่างเรา ๆ ให้เราเดาโน่นเดานี่ไปเรื่อย (และย้อนกลับมาจิกกัดตัวเองอีกที) ว่าใครเป็นไอ้หน้าผีกันแน่ พร้อมกับไดอะล็อกที่ยังคงจิกกัดวงการบันเทิง (และย้อนกลับมาจิกกัดตัวเองอีกที) จิกกัด “หนังภาคต่อ” ของชาวบ้านชาวช่อง (และย้อนกลับมาจิกกัดตัวเองอีกที) การจิกกัดขนบหนัง Slasher ทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ (และก็ย้อนกลับมาจิกกัดตัวเองอีกที) รวมถึงเรื่องราวและสถานที่ที่แทบจะเหมือนกับภาคแรกเด๊ะ ซึ่งถือเป็นแฟนเซอร์วิสที่แฟนเดนตายดูยังไงก็กรี๊ดแน่นอน เพราะว่าขนบและแก่นแบบในหนังต้นฉบับนี่เรียกว่ากลับมาแบบครบ ๆ เลย

และพอมันกลายเป็นหนังรีบูตเพื่อยังจะให้ทุกคนที่เป็นแฟนหนังมีความพอใจ ตัวหนังก็ยังคงยึดแนวทางการไล่เชือดอย่างมือโต๊ะเลยครับ ผมต้องชื่นชมก่อนเบื้องต้นนะครับว่า ตัวหนังเองกล้ามากพอที่จะหยิบเอาความเป็นออริจินัลมาเสริมลูกเล่นเข้าไปให้ทันสมัย ทั้งเรื่องของจังหวะหนัง บท และการตัดต่อ การใส่ Jump Scare ที่ขยันหมั่นเพียรในการสับขาหลอกและปั่นหัวคนดูให้ (เหมือนจะตามทันแต่) ตามไม่ทัน การปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อการตามล่าและเอาตัวรอด ตัว Ghostface ในภาคนี้ที่ทั้งฉลาด มีลูกล่อลูกชน เหี้ยมโหด รวมทั้งการดำเนินเรื่อง การจัดองค์ประกอบภาพ การสร้างบรรยากาศความน่ากลัวและไม่น่าไว้วางใจที่ให้ความรู้สึกถึงหนัง Slasher ยุคใหม่ที่ดูแล้วถึงใจและสะใจแน่นอน

Scream-2022-06

พร้อมกับการแอบจิกกัดยั่วล้อไลฟ์สไตล์ของเจน Y และ Gen Z ไปด้วยในตัว ซึ่งเอาจริง ๆ มันก็ทำให้หนังภาคนี้มีความสนุกขึ้น และเหมาะกับยุคนี้มากขึ้นเป็นกอง รวมทั้งองก์สุดท้ายของหนังที่ผู้เขียนเองชื่นชมเลยว่า สามารถเดินเรื่องได้ระทึกมากครับ ส่วนตัวผู้เขียนชอบองก์สุดท้ายของภาคนี้พอ ๆ กับภาคแรกเลย แถมยังมีฉากให้อ้าปากค้างเกี่ยวกับตัวละครบางตัวด้วยว่า เอ็งทำแบบนี้ก็ได้เหรอ (วะเนี่ย) รวมทั้งการจิกกัดความเป็นแฟนเซอร์วิสด้วย ซึ่งผู้เขียนก็เล่ามากไม่ได้นะครับ เดี๋ยวสปอยล์

และแน่นอนว่าเมื่อมันถูกนำมาใช้แบบโฉ่งฉ่าง ข้อสังเกตที่ใหญ่ที่สุดในภาคนี้ก็คือ ตัวหนังยังคงมีลักษณะเดิมตามภาคก่อน ซึ่งเป็นเหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่นั่นเองครับ ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า การทำ ‘Requel’ ในหนังภาคนี้ แท้จริงก็คือการใช้เรื่องราวของภาคแรกมาอัดอยู่ในขวดใหม่ๆ อย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม ในแง่ของการเป็นหนังแฟนเซอร์วิส ก็อาจจะเป็นการกวนเบื้องล่างของหนังต้นฉบับได้อย่างสนุกสนานอย่างแท้จริง แต่ในยุคปัจจุบันที่ผู้สร้างหนังพยายามคิดหาวิธีใหม่ๆ เพื่อใส่เกมลึกๆ และประกอบด้วยเนื้อหาที่ท้าทายในหนังสยองขวัญและหนังฆาตกรรม การเปิดเผยเรื่องราวในหนังนี้ก็มีความเดาทางง่ายไปหน่อยในแง่ของการเป็นหนังสยองขวัญยุคใหม่

Scream-2022-07

ถ้าคุณเป็นแฟนที่ดูมาแล้วครบ 4 ภาคจะร้องอ๋อเลยว่า บทมันจะยังไงต่อไป แม้ว่าในองก์สุดท้ายจะระทึกมาก ๆ แต่พอเฉลยบทสรุปทั้งการเฉลยไอ้หน้าผี และเหตุผลในการไล่เชือดคนออกมาแล้ว ก็จะเข้าใจได้ทันทีเลยว่า อืม…มันก็ประมาณนี้แหละ ไม่หนีจากเดิมมาก และมันก็จะไม่ทรงพลังกระเทือนใจเหมือนกับหนังเชือดในยุคใหม่ ๆ ด้วย แม้ว่าตัวหนังจะพยายามสับขาหลอกให้เราสนุกระหว่างทาง และฮาไปกับการล้อขนบหนังตัวเองแค่ไหนก็ตาม การขมวดจบของหนังก็ยังวนกลับมาใช้สูตรเดิม ๆ อยู่ดี บทสรุปของหนังโดยรวมมันก็เลยออกจะเชย ๆ ทื่อ ๆ ไปนิดสำหรับการเป็นหนัง Slasher ยุคใหม่

Scream-2022-08

สรุปโดยรวม

สำหรับภาคนี้ ผมต้องบอกว่าผมชอบมันมากกว่าภาคก่อน บางภาคด้วย โดยเฉพาะถ้าเทียบกับหนังเชือดยุคใหม่ (ที่ผมไปแขวะเขาด้วย) ความเป็นหนัง ‘Requel’ ที่ตัวหนังมันก็ยังคงมีขนบและบทสรุปเชย ๆ ให้เห็นอยู่ สำหรับคนที่ไม่ใช่แฟน อาจจะไม่รู้สึกว้าวมากนัก แต่ถ้ามองในแง่ของการเป็นแฟนเซอร์วิสที่เคารพและกวนทีนหนังต้นฉบับของเวส คราเวนไปด้วยพร้อม ๆ กัน การยั่วล้อขนบหนังเชือดยุคเก่า การเชือดที่โหดสะใจ รวมทั้งการใส่จังหวะสับขาหลอกผ่านไดอะล็อกและการตัดต่อเพื่อปั่นหัวคนดู การจิกกัดฮอลลีวูด (และก็ย้อนกลับมาจิกกัดตัวเองอีกที) ที่เรียกเสียงฮาได้ชะงัดนัก

ในภาคนี้ ผมเห็นว่ามันประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงนะ ถึงแม้ว่ามันจะเช้ยเชยยังไงก็ตาม แต่อย่างน้อยมันยังชัดเจนว่า ‘SCREAM’ ยังคงเป็นหนังเชือดที่เน้นความโหด การจิกกัด และการกวนทีนให้หนังไม่เบื่อสร้างซา มีทางให้เราตามรอยเขาไปสู่จักรวาลภาคต่อใหม่ และกำลังพยายามกวนทีนความเป็นหนัง Slasher แบบใหม่ไปพร้อมกันด้วย เพราะมันแน่นอนว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไร จะเชือดแบบไหน ไม่มีใครทำได้เหมือนเขา!

Scream-2022-09

ตัวอย่าง Scream หวีดสุดขีด (2022)

Categories