ถ้าเราย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ Marvel เพิ่งเริ่มต้นภาคต่อต่าง ๆ ในภาคเฟส 3 ด้วยการออกภาคต่อของ Captain America Civil War นั้น การปะทะกันระหว่าง สตีฟ โรเจอร์ส และ โทนี สตาร์ค เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างแน่นอน แต่ที่น่าสังเกตคือ การนำเสนอฮีโร่ใหม่เป็นสิ่งที่เป็นนโยบายในทุกๆ เฟสของจักรวาล Marvel โดยจะมีตัวละครใหม่เข้าร่วมเสมอ เช่นกันกับ Black Panther และ Spider-Man ที่ปรากฏใน Civil War และตัวละครที่มีบทบาท “เปิดประตูสู่มิติอื่น” เช่น Doctor Strange ในภาคนี้ด้วย
สำหรับฉบับภาพยนตร์ของ ดอกเตอร์สเตรนจ์ นี้ นอกจากเราจะได้เห็นผู้ชายที่น่าสนใจและถูกจัดวางบทบาทโดยเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบช (Benedict Cumberbatch) ในบทของสตีเฟ่น เสตรนจ์ หรือ ดร.สเตรนจ์ ตั้งแต่แรกก็สิ่งที่น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ในส่วนของเนื้อหาก็มีการปรับเปลี่ยนบางส่วนเพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องภาพยนตร์ โดยมีหนึ่งส่วนที่น่าสังเกตเป็นพิเศษ คือ ตัวละคร The Ancient One อาจารย์ผู้มีประสบการณ์อันน่าทึ่งของ ดร.สเตรนจ์ ที่ได้ให้บทแสดงโดยนักแสดงหญิง ทิลดา สวินตัน (Tilda Swinton) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากต้นฉบับที่เป็น “ชายแก่” ซึ่งเป็นการแสดงอย่างลึกซึ้งในการมองโลกในแง่มุมต่าง ๆ ในโลกภาพยนตร์ที่ผนวกกับเนื้อหาของการ์ตูนให้สมดุลกันได้อย่างเหมาะสม แม้เรื่องนี้อาจจะแตกต่างจากฉบับเดิม แต่ก็ได้สร้างเสถียรภาพและความน่าสนใจให้กับผู้ชมได้อย่างน่าทึ่ง
นอกจากรายชื่อนักแสดงที่ได้กล่าวถึงไว้แล้วข้างต้น ในภาพยนตร์ ดอกเตอร์สเตรนจ์ ยังมีนักแสดงท่านอื่นที่มีความสำคัญและทำให้เรื่องนี้เติบโตขึ้นอย่างมีความหมาย ได้แก่ ชิเวเทล เอ็จอิโอฟอร์ (Chiwetel Ejiofor), เรเชล แม็คอดัมส์ (Rachel McAdams), แมด มิคเคนเซ่น (Mads Mikkelsen), ไมเคิล สตูห์ลบาร์ก (Michael Stuhlbarg), เบเนดิกต์ หว่อง (Benedict Wong), สก็อต แอ็ดกินส์ (Scott Adkins) และ เอมี่ แลนเดกเกอร์ (Amy Landecker) ซึ่งพวกเขาเป็นส่วนสำคัญที่สร้างเสริมความสมบูรณ์และความคมชัดให้กับบทบาทของตัวละครในเรื่องราวนี้
แนวทางการกำกับนำโดย สก็อต เดอริคสัน (Scott Derrickson) ยังเป็นส่วนหนึ่งที่นำเสนอความคิดและเนื้อหาให้เป็นเรื่องราวที่คมชัดและน่าตื่นเต้น ด้วยความปราถนาที่จะสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและสะท้อนให้เห็นถึงมิติของโลกแห่งการเดินทางของ ดร.สเตรนจ์ ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างภาพยนตร์นี้ให้เป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างยิ่งใหญ่
ดอกเตอร์สเตรนจ์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับต้นกำเนิดของ ดร.สตีเฟ่น สแตรนจ์ ศัลยแพทย์ด้านระบบประสาทที่เริ่มต้นจากชีวิตที่เต็มไปด้วยความสามารถ แต่กลับต้องผ่านอุบัติเหตุที่ทำให้เขาสูญเสียการใช้งานมือทั้งสองข้าง แม้จะมีการพยายามทำให้ฟื้นคืนมือก็ไม่สำเร็จ
เขาหวังว่าจะสามารถรักษาความเสียหายนั้นได้ แต่เมื่อไม่มีทางรักษาที่ประสบความสำเร็จ เขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่สามารถเดินได้หลังจากเป็นอัมพาต นี่อาจเป็นวิธีหรือทางเลือกใหม่ที่อาจช่วยเขาได้ จึงเริ่มเดินทางตามลำพังอย่างไม่คาดคิดเพื่อค้นหาวิธีแก้ปัญหาของเขาในทางที่ไม่เคยได้คิดถึงมาก่อน และเป็นที่มาของการก้าวเข้าสู่โลกของเวทมนตร์ในภาพยนตร์นี้แห่งการเริ่มต้นของสตอรี่ของเขาว่า “ดอกเตอร์สเตรนจ์”
เวลาเริ่มต้นสู่ตำนานของซุปเปอร์ฮีโร่ใหม่นี้ การแนะนำตัวละครกลายเป็นส่วนสำคัญที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพื่อให้เราได้รู้จักกับบุคลิกและทัศนคติของเขา พร้อมทั้งภูมิปัญญาที่ช่วยก่อให้เกิดเป็นฮีโร่ เรื่องราวของเขาไม่เพียงแค่เป็นเส้นทางการผจญภัยที่น่าติดตาม เอาที่สำคัญคือมีการเสนอแนะแห่งการเรียนรู้และการเผชิญหน้ากับประสบการณ์ ทุกช่วงตอนเต็มไปด้วยฉากตื่นเต้นและการแสดงออกทางภาพที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงความฮาที่เป็นเอกลักษณ์ของมาร์เวล ที่ช่วยให้เราสามารถผ่อนคลายได้อย่างดี
สิ่งที่ทำให้หนังนี้โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นภาพที่มีความพิเศษ การสร้างภาพลักษณ์ของพลังเวทย์มนต์ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ฉากที่เต็มไปด้วยการแสดงพลังของพลังงานที่น่าทึ่ง การเปลี่ยนแปลงมิติของเมืองอย่างลงตัว และการสร้างโลกที่ดูเหมือนกระจกที่สะท้อนความเป็นไปได้ของสิ่งต่าง ๆ ทำให้ผู้ชมตื่นเต้นและตะลึงตัวกับฉากการแอ็คชั่นที่นำเสนออย่างมีความสมบูรณ์ สิ่งที่น่าทึ่งมากกว่านั้นคือการออกแบบภาพที่ทันสมัยและเด่นที่แตกต่างออกไป ทำให้เราต้องตื่นตาตื่นใจกับความพิเศษและความแปลกประหลาดที่ปรากฏในเรื่องนี้
สรุป Doctor Strange นั้นเป็นหนังเรื่องฮีโร่แนวเวทย์มนต์ที่นำเสนออย่างดีและน่าสนุกตามมาตรฐานของภาพยนตร์จากมาร์เวล ผ่านการเล่าเรื่องที่เป็นระเบียบและรวดเร็วอย่างมีความท้าทาย มีฉากแอ็คชั่นที่โชว์ความเทพสุดล้ำ และเต็มไปด้วยการแสดงอารมณ์ขำเร้าใจที่ทำให้เราติดตามได้ง่าย นักแสดงทั้งหมดในภาพยนตร์นี้ได้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าบางส่วนของบทบาทอาจจะเป็นจุดบกพร่องที่ทำให้เรารู้จักสตรีนจ์อย่างไม่เต็มที่