หลังจากที่ภาคแรกได้สร้างความฮาก๊ากฉบับย่อไซต์แบบที่ไม่มีใครเหมือน และหลังจากมหาศึกล้างจักรวาล ก็ทำให้ทุกคนถามหาเป็นเสียงเดียวกันว่า “แอนท์แมน กับเดอะวอสพ์หายไปไหนนะ” ซึ่งในที่สุดมนุษย์มดมหากาฬก็กลับมากับการผจญภัยครั้งใหม่ แต่ครั้งนี้เขามาพร้อมกับคู่หูคู่ลุยอย่าง แม่ต่อสาวพราวเสน่ห์ใน Ant-Man And The Wasp
เมื่อ สกอตต์ แลง ได้รับภารกิจเร่งด่วนจาก แฮงค์ พิม และลูกสาว โฮป แวน ไดน์ ทำให้เขาต้องกลับมาสวมชุดฮีโร่อีกครั้ง ยอมเสี่ยงแม้ว่าในตอนนี้เขายังถูกลงทัณฑ์จากเหตุการณ์ใน Captain America Civil War กักบริเวณไม่ให้เขาออกจากบ้านถึงสองปี ซึ่งภารกิจนี้ทำให้เขาต้องเรียนรู้การทำงานกันเป็นทีมกับแม่ต่อสาว เดอะ วอสป์ เพื่อสืบหาความจริงของความลับในอดีตที่จะไขกระจ่าง การหายตัวไปในควอนตัมของของ เดอะ วอสป์ คนแรกอย่าง เจเน็ต แวน ไดน์
แม้ว่าทาง Marvel จะบอกว่า แอนท์-แมน แอนด์ เดอะ วอสป์ คือหนังที่เชื่อมโยงไปยังบทสรุปของมหาสงครามอัญมณีโดยตรง แต่หนังก็ไม่ได้นำเรื่องราวของ Avengers Infinity War มหาสงครามล้างจักรวาล มาผสานเข้าแบบโต้งๆ อย่างที่โปรโมทเอาไว้ เพราะมันก็คือภาคต่อที่เล่าเรื่องราวเล็ก แต่ประเด็นใหญ่ๆ เกี่ยวกับกลุ่มฮีโร่ไซต์จิ๋ว ที่ต้องการจะทวงสถานะครอบครัวให้กลับมาร้อยเปอร์เซ็นอีกครั้ง
เราจะได้เห็นเส้นเรื่องที่จะพยายามคุมสโคปไม่ให้ใหญ่เกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเข้มข้นจากภาคแรกมากขึ้นพอสมควร ทั้งในแง่ของความดราม่า และพล็อตที่น่าตื่นเต้น แต่ก็ไม่ยอมทิ้งลายความฮาเบาสมองที่เป็นเอกลักษณ์ของแฟรนไซส์มนุษย์หมดมหากาฬ ที่จัดมาให้แบบไม่ว่างเว้นมาตลอดทั้งเรื่อง บางมุกก็ฮาก๊าก บางมุกก็ฮากริบ ผสมปนเปกันไป แม้ว่ามุกจะไม่ฮาฉลาดแบบภาคแรก แต่ต้องยอมรับเลยว่าจังหวะซิทคอมตึงโป๊ะมากเลยทีเดียว
ไหนๆ ก็เป็นหนังคู่หู สิ่งที่ขาดหวังได้ก็คือเคมี และการแสดงของทั้งสองฮีโร่ Paul Rudd รับบท Scottlang หรือ Ant-Man ที่ยังคงความฮาแบบธรรมชาติ และ Evangeline Liliy รับบท Hopevandyne หรือ The Wasp ที่มากับลุคหญิงแกร่งเพื่อช่วยกันพยุงเกื้อกูลหนังไปจนจบ และในเมื่อเป็นหนังเปิดตัวแม่ต่อสาวทั้งที ก็ต้องมีฉากขายจัดหนักจัดเต็มกันบ้าง
แต่ก็น่าเสียดาย ที่ไอเดียฉากแอ็คชั่นที่เล่นกับกิมมิคย่อขยายไซต์อย่างสนุกสนานนั้นกลับทำออกมาไม่ได้น่าตื่นตาหรือสวยงามเท่าที่ควร ต่างจากภาคแรกที่มีการใช้ภาพและสัดส่วนเล่าเรื่องได้อย่างดูดีและสร้างสรรกว่า แต่พูดถึงสัดส่วนแล้ว ก็เป็นอีกข้อดีที่น่าพูดถึง เพราะการใช้สัดส่วนในการขยาย 26% เฉพาะในโรง I-Max นั้น ก็มาได้อย่างถูกที่ถูกเวลา และช่วยให้การเล่าเรื่องตื่นตาตื่นใจขึ้นมามากเลยทีเดียว เช่นเดียวกันกับการทำภาพสามมิติที่ถือว่าดีมากกว่ามาตรฐานช่วงหลังๆ ใครที่ชอบหนัง 3D จัดๆ เตรียมตัวได้เลยครับ
โดยรวมแล้ว Ant Man And The Wasp อาจจะไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบมากนัก ทั้งการเล่าเรื่องที่ดูฉับฉ่ายไปสักนิส งานโปรดักชั่นที่อาจจะไม่ได้งามเท่าที่ควร โครงของเรื่องก็ไม่มีความแน่นอนเหมือนแต่ก่อน แต่ก็เถียงไม่ได้ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่พร้อมความบันเทิงและความสุข แบบไม่ต้องการจะให้อะไรนอกเหนือไปกว่านั้นจริงๆ เหมือนเป็นการพักผ่อนหลังจากศึกอันหนักหน่วงจากเรื่องที่แล้ว ซึ่งหนังก็ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าแย่แต่อย่างใด และรับรองว่าคุณจะได้คำตอบของการหายไปของเขาอย่างแน่นอน Ant-Man And The Wasp มีให้ดูฟรีแล้ววันนี้โดยใน modemovie.com