ถ้าจะพูดถึงผู้กำกับที่มีลายเซ็นเด่นชัดที่สุด ชื่อของ Christopher Nolan จะต้องถูกกล่าวถึงในทุกสนทนาโดยไม่มีข้อยกเว้น นักกำกับชาวอังกฤษนี้มีความจัดเจนในการเป็นนักเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม โดยผสมผสานปมเรื่องที่ซับซ้อนและลึกล้ำอย่างลงตัวเข้ากับงานเทคนิคและความร่วมมือในการใช้ภาษาภาพยนตร์ ในการสร้างเรื่องราวที่ดูหนักและน่าสนใจต่อการติดตาม และยังกระตุ้นสมองให้ทำงานอย่างไม่หยุดนิ่งตลอดเวลาด้วยการใช้เทคนิคและภาษาภาพยนตร์อย่างมีเกียร์สูง ความน่าตื่นเต้นของผลงานของเขาทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ได้รับความชื่นชมมากที่สุดในวงการภาพยนตร์โลกในปัจจุบัน และผลงานของเขายังคงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องสนใจและติดตามอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหรือฉากไหนก็ตามที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ๆ ทุกสรรค์สร้างจากใจและมีความเป็นเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัว
ถ้าพูดถึง “Oppenheimer” ภาพยนตร์ลำดับที่ 12 ของ Christopher Nolan ก็ยังคงมีความซับซ้อนและเทคนิคด้านภาพและเสียงที่ยอดเยี่ยมอย่างครบถ้วน แถมยิ่งมีความหนักข้อยิ่งขึ้น เพราะเรื่องนี้นอกจากที่จะแตะทฤษฎีที่น่าสนใจแค่แขนงเดียว เหมือนเคย แต่กับ “ออปเพนฮายเมอร์” เราสามารถพูดได้ว่าเป็น “เมกะฮิตรวมทฤษฎีโคตรลึก” สำหรับผลงานของ Christopher Nolan ในฐานะผู้กำกับ ภาพยนตร์นี้ถือเป็นงานที่ท้าทายและน่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง และน่าเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับทฤษฎีและปรัชญาที่ถูกนำมาสู่ชีวิตจริง การเสนอเรื่องราวอย่างนี้ในแง่มุมของนักวิทยาศาสตร์และนักบูรณะประวัติศาสตร์มีความสมบูรณ์อย่างที่เต็มที่ และ Christopher Nolan ได้สร้างผลงานที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความยาวนานที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้กับผลงานใดๆ ที่เคยทำมาก่อน
เอาจริง ๆ Oppenheimer เรื่องนี้คือเรื่องราวชีวิตของ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ หนุ่มผู้มีปัญหาในตัวเองมากมาย แต่ก็มักถูกละเลยไปด้วยความปราดเปรื่องของตัวเอง และเมื่อเขาได้รับความช่วยเหลือให้หาทางทำให้สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด เขาชี้ให้เห็นว่ามีแต่ความหวังเดียวเท่านั้น คือ อาวุธปรมาณูที่มีพลังทำลายล้างรุนแรงจนสามารถยับยั้งไม่ให้ทุกฝ่ายต่อสู้กันต่อไปได้อีก
คริสโตเฟอร์ โนแลน ก็ยังคงเป็น คริสโตเฟอร์ โนแลน ความเสด็จพ่อยังคงสร้างสรรค์ผลงานระดับมาสเตอร์พีชออกมาได้ไม่ผิดหวังอีกเหมือนเคย นี่คือหนังที่กลั่นกรองมาจากไอเดียและแนวคิดของโนแลนอย่างเต็มที่อีกครั้ง แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นการทำงานแบบย้ายสถานที่ จาก วอร์เนอร์ บราเธอร์ส มาเป็น ยูนิเวอร์แซล แต่ความสร้างสรรค์ของเขาก็ยังชัดเจนและได้การยอมรับในการบีบอัดออกมาเป็นผลงานระดับเทพ
หนังจะตัดสลับเล่าสองเหตุการณ์เข้าด้วยกัน ได้แก่เรื่องราวการสอบสวนล่าแม่มดในยุคของ วุฒิสมาชิกโจเซฟ แม็คคาร์ธี (Joseph McCarthy) ที่ เจ โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ (คิลเลียน เมอร์ฟี – Cillian Murphy) ถูกสอบสวนในข้อกล่าวหาที่เข้าไปพัวพันกับพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างมาก
อีกเหตุการณ์หนึ่งคือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ออปเพนไฮเมอร์ต้องรับหน้าที่เป็นกุนซือหลักในการรวมมันสมองนักวิทยาศาสตร์เพื่อคิดค้นระเบิดนิวเคลียร์เพื่อเอาชนะเหล่านาซีที่กำลังเรืองอำนาจ ภายใต้การควบคุมของ พันเอกเลสลีย์ โกรฟ (แมต เดมอน – Matt Damon) โดยชีวิตของออปเพนไฮเมอร์ต้องเกี่ยวพันกับสตรีสองนางได้แก่ คิตตี้ ออปเพนไฮเมอร์ (เอมิลี บลันต์ – Emily Blunt) ภรรยาตามกฎหมายและ จีน แทตล็อก (ฟลอเรนซ์ พิว – Florence Pugh) ชู้สาวที่เขาเจอเธอที่พรรคคอมมิวนิสต์
โดยทั้งสองเหตุการณ์จะมีบางส่วนที่เกี่ยวพันกับ ลิวอิส สเตราส์ (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ – Robert Downey Jr.) อดีตผู้อำนวยการสถาบันพลังงานปรมาณูที่อยู่ระหว่างการสอบคุณสมบัติเพื่อรับตำแหน่งรัฐมนตรีในยุคสมัยของประธานาธิบดี ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower) โดยคณะกรรมการสอบสวนกำลังถามถึงความภักดีของออปเพนไฮเมอร์ที่มีต่อสหรัฐอเมริกา
ในหนังเรื่องนี้ แน่นอนว่า คริสโตเฟอร์ โนแลน ยังคงร่วมเขียนบทหนังไปพร้อมกับ “ไค เบิร์ด” นักเขียนหน้าใหม่ ที่ได้อ้างอิงมาจากงานเขียนระดับตำนานของ “มาร์ติน เชอร์วิน” ผู้ที่เคยเรียบเรียงตำนานของออพเพนไฮเมอร์ไว้เป็นสิ่งพิมพ์ และงานบทหนังนี้ก็ยังคงความคมคามอย่างไม่น้อยนัก ตามแบบเสด็จพ่อโนแลน ซึ่งเต็มไปด้วยมิติและความเชิงลึกมากมาย บทที่เต็มไปด้วยการสะท้อนทฤษฎีที่ท้าทายผู้ชมไปตลอดทั้ง 3 ชั่วโมง เรื่องราวที่เป็นไปได้ในทุกมิติของมันให้กับผู้ชมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในสไตล์ของโนแลนและเบิร์ดอย่างไม่มีข้อกังวล
เรื่อง ออปเพนฮายเมอร์ นั้นเป็นหนังที่อาจไม่เหมาะกับทุกคนจริง ๆ แม้ว่ามันจะถือเป็นหนังยอดเยี่ยมของปีนี้อีกเรื่องหนึ่ง แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องที่เหมาะสำหรับการมาแสวงหาความบันเทิง เพราะมันมาพร้อมกับความขัดแย้ง จริงจัง และโมโหง่าย ๆ โดยเรื่องนี้มีการวางแผนของบทพูดมากมาย เรียกได้ว่ามีเสียงพูดต่อเนื่องกว่า 98 เปอร์เซนต์ของเรื่อง แทบไม่มีช่วงเวลาที่จะหยุดหายใจให้เราเลย และให้เราติดตามคำพูดไปตลอดเวลาที่หนังเล่นอยู่
ออปเพนฮายเมอร์ เป็นการเล่าเรื่องที่มีความซับซ้อนและหลงตัวในทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนสามารถเข้าใจและยอมรับได้โดยง่าย นอกจากนี้ เรื่องราวยังมีการเกาะติดกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเวลา 180 นาที ทำให้เป็นหนังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เข้าใจและจัดการกับข้อมูลที่มาในระหว่าง 3 ชั่วโมงของการดูหนังเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ผลลัพธ์ที่ได้อาจกลายเป็นการนอนหลับก็เป็นได้ หรือช่วงเวลาที่ทำให้ความตั้งใจขาดแคลนได้
แต่อย่างไรก็ตาม หนังก็ยังมีการสนับสนุนที่เต็มไปด้วยนักแสดงที่มีคุณภาพอย่างดีเยี่ยม การอธิบายเหล่านักแสดงในภาพวิญญาณของหนังด้วยคำว่า “กองทัพ” อาจจะไม่ได้แท้จริงนัก แต่ถ้าเปรียบเทียบกับหนังคู่แข่งอย่าง “Barbie” ที่เต็มไปด้วยดาราหลายคน ออปเพนฮายเมอร์ ก็ไม่ใช่น้อยหน้าเลย เพราะมีนักแสดงที่มีคุณภาพออกมาเต็มที่ทุกฉาก และนี่คือหนังที่ต้องการแสดงการแสดงอย่างมืออาชีพที่ทรงพลังอย่างแท้จริงทั้งหมด
ปรบมือให้ดัง ๆ กับการแสดงของ “Cillian Murphy” และนี่คือหนึ่งในบทบาทการแสดงที่ดีที่สุดในอาชีพนักแสดงของเขาเลยก็ว่าได้ บทนี้เหมือนเกิดมาเพื่อเขาจริง ๆ เขาแสดงออกมาเหมือนกับทำออกมาง่าย แต่ด้วยการตีความเป็นการ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ในรูปแบบที่เขาวิเคราะห์เอง มันจึงเต็มไปด้วยเสน่ห์และจุดที่น่าค้นหาไปตลอดทั้งเรื่อง เขาน่าจะได้ที่นั่งแถวหน้าของเวทีรางวัลปีหน้าเอาไว้แล้ว
พวกนักแสดงทุกคนใน Oppenheimer ทำให้เราต้องหงุดหงิดไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น “Emily Blunt“, “Matt Damon“, “Jason Clarke“, “Alden Ehrenreich“, “Florence Pugh” หรือ “Kenneth Branagh” พวกเขาใส่เต็มใจและแสดงให้ดูดีในทุกซีนทุกเซต ไม่ว่าจะเป็นฉากใหญ่หรือฉากเล็ก แต่คนที่โดดเด่นที่สุดต้องขึ้นอยู่กับ “โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์” เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในวงการของเขา เขาแสดงอย่างน่าประทับใจและมีมิติที่หลากหลายถึงขนาดที่คนต้องเสียงคำพล่าน
และที่ขาดไปไม่ได้เลย ก็คือองค์ประกอบที่เป็นเสน่ห์ของงานหนังโนแลนในยุคหลัง ๆ กับงานสร้างสุดบรรจง ที่มักจะใส่ใจในรายละเอียดงานภาพและงานเสียงได้อย่างน่าอัศจรรย์ และเรื่องนี้ก็ทำให้เราแทบจะลุกขึ้นยืนปรบมือให้มาก ๆ ยิ่งได้รู้รายละเอียดเบื้องหลังงานสร้างของหนังเรื่องนี้ที่ไม่ใช่เทคนิคพิเศษและซีจีใด ๆ มาช่วยเลย ก็ยิ่งทึ่งกับความสามารถของ คริสโตเฟอร์ โนแลน มากยิ่งขึ้นอีก
Oppenheimer เต็มไปด้วยเสน่ห์ด้านงานออกแบบภาพ มุมกล้อง การจัดแสง และการดีไซน์วิชชั่นต่าง ๆ ด้วยภาพนั้น ทำออกมาได้ค่อนข้างยอดเยี่ยม ท่ามกลางเส้นเรื่องและการเล่าเรื่องที่ดุดันตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็มีงานภาพของโนแลนที่มาช่วยคอนทราสอารมณ์ได้ด้วยดี แค่ได้นั่งดูองค์ประกอบสุดพิถีพิภันและละเอียดของเขาตรงนี้ก็คุ้มค่าแล้ว ยิ่งมาสมทบด้วยงานออกแบบเสียงที่สั่นสะเทือนไปทุกอวัยวะของร่างกาย มันเป็นกำไรของคนดูที่ต้องดูหนังเรื่องนี้ได้ถึงอรรถรสได้เฉพาะในโรงภาพยนตร์เท่านั้นจริง ๆ
โดยสรุปแล้ว Oppenheimer ยังเป็นหนึ่งในผลงานที่มีคุณภาพสูงของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่งานสร้างแทบจะไม่มีข้อบกพร่องใดเลยสักนิดเดียว มันใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบมาก ๆ และน่าจะเป็นหนังเรื่องแรกที่จับจองพื้นที่บนเวทีรางวัลต่าง ๆ ไว้แล้ว แม้ว่าอุปสรรคเดียวของหนังเรื่องนี้จะเป็นการร้อยเรียงและส่งสารไปถึงคนดูที่ค่อนข้างยากที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ เพราะเนื้อหาของหนังมีความเฉพาะตัว จะว่าไปก็เป็นหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีเนื้อหาหนึ่งอย่างที่เข้มงวด เพียงแต่เลือกที่จะนำเสนอภาพสงครามในมุมมองทางฟิสิกส์แทนการเล่าเรื่องแบบทั่วไปเท่านั้นเอง