Major Grom: Plague Doctor เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นชาวรัสเซียปี 2021 กำกับโดย Oleg Trofim อิงจากหนังสือการ์ตูนชุดชื่อเดียวกันโดย Bubble Comics ผู้จัดพิมพ์ชาว รัสเซีย สร้างโดย Artyom Gabrelyanov เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองที่ดัดแปลงมาจาก Bubble Comics เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องยาว เรื่องแรก ที่สร้างจากการ์ตูนรัสเซีย ก่อนหน้านั้น สตูดิโอได้เปิดตัวภาพยนตร์สั้นเรื่อง Major Grom นำแสดงโดย Tikhon Zhiznevsky ในบทบาทนำ ร่วมกับ Lyubov Aksyonova, Aleksei Maklakov, Aleksandr Seteykin, Sergei Goroshko และ Dmitry Chebotaryov ภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งอยู่ในปี เตอร์สเบิร์กและบอกเล่าเรื่องราวของพันตำรวจตรีอิกอร์ กรอม ตำรวจผู้ซื่อสัตย์และมีทักษะพร้อมวิธีการแหวกแนว ซึ่งไล่ตาม ฆาตกร ศาลเตี้ยภายใต้หน้ากากของแพทย์โรคระบาด
ทีเซอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560 ที่งาน IgroMir / Comic -Con Russia 2017 หลังจากนั้นโปรเจ็กต์ประสบปัญหาในการผลิตมาระยะหนึ่ง โดยทีมงานถูกยุบและประกอบใหม่ และแนวคิดของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำซ้ำตั้งแต่เริ่มต้น สามปีต่อมา มีการฉายตัวอย่างฉบับเต็มในงาน Comic Con Russia 2020 พร้อมกำหนดวันวางจำหน่ายเบื้องต้น Major Grom: Plague Doctor ฉายรอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2564 ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รอบปฐมทัศน์ ออนไลน์เกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤษภาคม 2021 บน KinoPoisk HD และ Netflix
Major Grom: Plague Doctor ได้รับการตอบรับเชิงบวกจากนักวิจารณ์พอสมควร คุณภาพโดยรวมของงานได้รับการสังเกต แต่โครงเรื่องที่ซ้ำซากจำเจและไม่เป็นต้นฉบับก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน ผู้สังเกตการณ์บางคนอ้างว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ประณามฝ่ายค้านของรัสเซียและยกย่องตำรวจ แต่ไม่ใช่ผู้วิจารณ์ทุกคนที่เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ ผู้เขียนเองได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ในการสัมภาษณ์หลายครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ล้มเหลวในบ็อกซ์ออฟฟิศโดยรวบรวมได้เพียง 328 ล้านรูเบิลใน CIS ด้วยงบประมาณ 640 ล้านรูเบิล แต่ได้รับความนิยมใน Netflix และ Kinopoisk HD
เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นด้วยกร็อม หนุ่มหล่อที่เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ ซึ่งมักใช้วิธีโหดๆ เพื่อจับคนร้าย เขามีความสามารถในการจำลองวิธีการต่อสู้ก่อนเกิดเหตุการณ์เสมอ วันหนึ่งในเมืองเกิดเหตุไม่คาดฝัน มีศาลเตี้ยที่ใส่ชุดนักรบแบบจัดเต็มและสัญลักษณ์ค่อหน้ากากรูปนกชื่อ หมอกาฬโรค ปรากฏตัวเพื่อไล่ล่าและกำจัดคนร้ายในเมือง นอกจากนี้ยังมีการโปรโมทผ่านสื่อโซเชียลมีเดียด้วยทำให้หมอกาฬโรคกลายเป็นไอดอลและซุปเปอร์ฮีโร่ ก่อนที่มีแฟนคลับที่มากมาย. แต่ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปเมื่อเขาทำการฆ่าเด็กที่ไม่รู้จัก โดยแค่คิดว่าเด็กคนนั้นมีครอบครัวที่ไม่ดีเท่านั้น. สิ่งนี้ทำให้เกิดข้อโต้แย้งรุนแรง กร็อมพยายามใช้กำลังใจในการสืบสวนให้เข้าใจว่าในหลังหน้ากากของหมอกาฬโรคคือใคร และสุดท้ายโชคชะตาได้ทำให้เขาพบว่าคนร้ายอยู่ใกล้จนถึงจมูกแล้ว
Major Grom: Plague Doctor เดินทางสู่โลกของรัสเซียด้วยความเต็มที่ มันเป็นระยะทางที่เต็มไปด้วยความมันส์เต็มร้อย แค่เริ่มต้นเท่านั้น การเลือกใช้ตัวอักษรและเครดิตที่เต็มไปด้วยภาษารัสเซียให้ความรู้สึกเหมือนกำลังตื่นขึ้นมาเมื่อเริ่มดู ฉากไล่ล่าที่เต็มไปด้วยความดุเดือดจะเล่าเรื่องราวอย่างรวดเร็วและกระแทกใจอย่างทันที แม้ว่าจะมีการตัดต่อสลับกันมากมาย แต่ความเพลิดเพลินและความเข้าใจง่ายก็ยังคงอยู่ รัวหมัดที่ต่อเนื่องกันช่วยเร่งเรื่องให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และการสื่อความชัดเจนและกระชับตามสไตล์รัสเซียจะทำให้คุณติดใจอย่างแท้จริง สำหรับคนที่เคยไปเยือนรัสเซียมาก่อน แค่ไม่กี่นาทีแรกก็พอที่จะรู้ว่าโปรดักชั่นของเรื่องนี้จัดเต็มมากๆ ที่การถ่ายทอดภาพที่เป็นศูนย์กลางของนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และการนำเสนอจุดเด่นของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้อย่างมืออาชีพ
และก็เหมือนกับชื่อเรื่อง ตัวเอกของเราก็คือนายตำรวจอีกอร์ กรอม (Igor Grom) (รับบทโดย ทิกฮอน ซีซเนฟสกี (Tikhon Zhiznevsky)) ตำรวจบ้าระห่ำที่ดูแว่บแรกนึกว่าเป็นฮีโรเหนือมนุษย์ และดูไม่ได้น่าประทับใจเท่าไหร่เลย แต่ยิ่งเดินเรื่องไป เราก็ยิ่งเห็นความซื่อสัตย์ เที่ยงตรง และโดดเดี่ยวของคนผู้นี้ จนชวนให้นึกในใจว่ารัสเซียนี่มันรัสเซียซะจริงๆ ขนาดตัวเอกยังมีความเป็นรัสเซียเด่นหราเอามากๆ ซึ่งนั่นก็ถือเป็นมุมนำเสนอที่ดี และส่วนตัวเราคิดว่า ตัวละครนี้ประสบความสำเร็จในแง่ของการดีไซน์ ดูเป็นเอกลักษณ์ดีนะ
นอกจากนายตำรวจตัวเอกของเรื่องอีกคนก็อยู่ในชื่อเรื่องเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ Чумной Доктор หรือหมอกาฬโรค วายร้ายที่สวมหน้ากากของหมอโรคระบาด ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นศาลเตี้ยกำจัดคนรวยที่ทำเรื่องเลวร้ายในสังคม ซึ่งหากดูผิวเผินในช่วงต้นแล้ว หนังจะทำให้เราจะรู้สึกว่าการกระทำของคนในหน้ากากนี้ดูชอบธรรม ดูเหมือนจะเป็นฮีโรมากกว่านายอีกอร์เสียอีก แต่เมื่อดำเนินเรื่องต่อไปเรื่อยๆ เราก็จะเริ่มเห็นเส้นแบ่งระหว่างความดีและความชั่วชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ภาพรวมของโปรดักชันในหนังนี้น่าสนใจมาก การใช้แสงสีเงาและการตัดต่อถูกดำเนินอย่างมีชั้นเชิง และการเดินเรื่องได้ถูกปรับแต่งอย่างลงตัว ทำให้ตัวละครและเหตุการณ์เป็นมิตรและเรียบร้อยมากขึ้น สองตัวละครหลักถูกสร้างขึ้นอย่างน่าสนใจ ซึ่งทำให้หนังนี้ดูเพลิดเพลินและมีเสน่ห์ โครงเรื่องนำเสนอดีมาก หลังจากดูแล้วมีความตื่นเต้นและหวาดกลัวต่อเนื้อเรื่อง เรื่องราวก็มีการแสดงความเข้มข้นขึ้นในช่วง Turning point ที่ทำให้เราตื่นเต้นอีกครั้ง และในระหว่างการเล่าเรื่องยังมีการใช้ภาษาภาพและการจัดองค์ประกอบฉากที่ช่วยเสนอความหมายได้อย่างชัดเจน ให้เราเข้าใจเนื้อเรื่องได้อย่างมีความรู้สึก
มีคำถามนึงที่พระเอกถามว่าอะไรทำให้นายต่างกับอาชญกร เป็นประโยคที่สั้นและกระชับ แต่มันกลายเป็นจุดสำคัญที่ยิ่งให้ความหมายในเรื่อง อยู่ในบรรยากาศและที่เวลาที่เหมาะสม ทำให้ประโยคนี้ยังคงดังก้องในใจผู้ชม ถึงแม้ว่าคำตอบจะชัดเจนอยู่ในเรื่อง แต่ก็ยังมีความลึกซึ้งที่ไม่เสมอจะเห็นได้ เช่นเดียวกับความซับซ้อนของสัมผัสและความคิดของตัวละคร
ชมมามากมายแบบนี้มันไม่มีข้อเสียเลยหรอ? ถ้าจะหาอะไรที่ไม่โอเคก็คงเป็นพล็อตที่ดูคุ้นๆ เหมือนเคย เห็นมาก่อนใช่ไหม? เอ๊ะ นี่มันแบทแมน! อ้าว นั่นมันเพชฌฆาตหน้ากากพญายม (V for Vendetta) ใช่ไหม? คือไม่แน่ใจว่าฟีลนี่ปรากฏในการ์ตูนต้นฉบับด้วยหรือเปล่า แต่ในภาพยนตร์มันดูคล้ายๆ เอามากๆ เลยล่ะนะ
อีกสิ่งที่เรารู้สึกว่าถ้าเติมให้เต็มได้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะปังปุริเย่มมากกว่านี้นะคะ นั่นคือการเล่าเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครต่างๆ ในฝั่งที่เป็นมวลหมู่มิตรของพระเอก มันมีแค่เท่าที่จำเป็นต่อการเล่าเรื่องเสียจนมันดูห้วนเกินไปสักหน่อย รู้สึกขาดๆ เกินๆ ทั้งที่น่าจะทำได้คมกว่านี้ได้อีกนิดเลยค่ะ ถ้าเราเปลี่ยนจังหวะการเล่าเรื่องไปยังตัวละครเล่านี้เพิ่ม เราจะเห็นจังหวะและการเปลี่ยนแปลงของความคิดของพระเอกได้มากกว่านี้แน่นอนค่ะ น่าจะดีมากๆ เลย
พิจารณาความยาวของหนังที่ 2 ชั่วโมงนี้แล้วก็ หาว่ามันมีข้อเสียไหมล่ะ? ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้มันดูไม่น่าสนใจมากพอที่จะยึดติดกับหนังได้ตลอดเวลาคือความช้าในการเดินเรื่องและพล็อตที่ไม่น่าสนใจพอที่จะดึงดูไปในตอนจบ พระเอกมีลักษณะคิดเยอะ เวลาที่จะทำอะไรก็ต้องคิดภาพในหัวก่อนจึงทำให้เสียเวลาจากตรงนี้ไปหลายช็อต แต่มันก็สนุกขึ้นตอนท้ายที่ทั้งหมด ตอนที่หาคนร้ายและพระเอกสู้กับตัวร้าย ฉากนี้ค่อนข้างสนุกเพราะตัวร้ายมีอาวุธเยอะมาก ๆ โดยสารเคมีในหลอดที่ติดไว้ที่ข้อมือ และหลอดนี้ยังสามารถเป็นระเบิดได้ในตัวเองด้วย แต่พระเอกก็รอดมาได้ แม้ว่าเขาจะแทบจะแพ้เหมือนกัน นางเอกไม่มีบทบาทมากนักในเรื่อง มักจะปรากฏในฉากกับพระเอกแล้วแทบจะหาฉากได้ยาก ฉะนั้นหนังมีแนวโน้มที่จะโฟกัสที่พระเอกและตัวร้าย ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครอื่นๆ อย่างเพื่อนเพียงแค่เห็นไม่มากนัก เหมือนหนังจะพยายามจะใส่เนื้อหามากไป ทำให้ไม่รู้สึกเข้ากับมิตรภาพฉันท์เพื่อนเท่าไหร่ ในส่วนของฉากบู๊ ผู้เขียนรู้สึกว่าพระเอกไม่มีอะไรที่โดดเด่นมากนัก การต่อสู้ก็ค่อนข้างปกติ เก่งตรงที่มีความคิดไว โอวาทดี และมีความกล้าหาญ ตรงนี้น่าจะเป็นจุดเด่นของพระเอกมากกว่าครับ
“Major Grom: Plague Doctor” เป็นหนังแอ็คชั่นที่ดูเพลินๆ นักแสดงชาวรัสเซียทุกคนในเรื่องนี้หน้าตาดีทั้งหมด เราไม่เพียงแต่มี Major Grom (ทิคฮอน ซีเซ็นซึฟสกี) ในบทพระเอกเท่านั้น แต่ยังมีคู่หูดิม่า (อเล็กซานเดอร์ ซีเทคิน) นายตำรวจฝึกงานหน้าใหม่ที่มีลักษณะหน้าตาอ่อนละมุน และตัวร้าย เซอร์เก โกรอชโก ก็มีดีเซอร์แบดบอยบาดใจอยู่ด้วย เพื่อนๆ ที่ว่างอยากพักใจก็สามารถเปิด MODEMOVIE มาดูวันนี้ได้เลยครับ อย่าพลาด!