เคยคิดมั้ยว่าถ้าเราสามารถแฮ็กเข้าไปใน ‘จิตใจ’ คนอื่นแล้วเปลี่ยนมันได้ โลกจะเป็นยังไง? Mad Genius เอาจริงๆ มันคือหนังที่ถามคำถามพวกนี้อยู่นะ ไม่ใช่แค่พูดถึงเทคโนโลยีแหวกแนวๆ แต่มันล้วงลึกไปถึงชีวิตคนเราด้วย แล้วพอผมดูจบข้อความที่หนังต้องการสื่อมันชัดขึ้นมาเลย สั่นคลอนไปหมดว่าเราควรจะเป็นใคร และสิทธิที่จะคิดได้นี่มันสำคัญแค่ไหนกับเรา
ผมดู Mad Genius แล้วรู้สึกติดใจในไอเดียและความกล้าหาญของมันเลยครับ งานสร้างเรื่องนี้โดย Royce Gorsuch ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เป็นชื่อที่ถูกพูดถึงเยอะแยะในวงการหนัง แต่ผมว่าหลังจาก แมด จีเนียส นี้ ชื่อเขาคงต้องเริ่มจดจำกันแล้วล่ะ การที่เขามาจากฉากเอ็มวีส์ที่มีสีสันและกราฟิกที่โดดเด่น มันช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับหนังเรื่องนี้ได้เยอะเลย ยกตัวอย่างเช่น ฉากที่ Mason แสดงความสามารถในการแฮ็กก็เต็มไปด้วยสีสันและการแสดงที่วิจิตร ดูเหมือนกับว่า Gorsuch อยากให้เราได้สัมผัสโลกยุคไซเบอร์พังค์ที่ไม่ไกลเกินจริง แต่ก็ไม่น่าเบื่อหน่าย หนังไม่ได้ดัดแปลงมาจากนิยายหรือหนังสือใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันคือแรงบันดาลใจอันล้ำสมัย ณ จักรวาลในอนาคต
ส่วนรายได้ของหนังอาจจะไม่ได้ทำลายสถิติอะไรตามที่ผมพูดไปแล้ว แต่ถ้าคิดถึงงบประมาณในการสร้างที่อาจจะไม่มากมหาศาลนัก มันก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ความเป็นมาของ แมด จีเนียส นี้มันเป็นเหมือนหนังที่ทำให้เราได้สำรวจความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี แนวคิดในการทำหนังนี้ดูเหมือนจะตั้งข้อถกเถียงเกี่ยวกับมนุษย์และสมองของเรา ว่าเราจะยอมให้เทคโนโลยีเข้ามาควบคุมหรือไม่ และถ้าควบคุมได้ มันจะดีขึ้นหรือเปล่า
แมด จีเนียส ถ่ายทำและเผยแพร่บนวงจรเทศกาลในชื่อ MINDHACK เป็นภาพยนตร์ที่แปลกประหลาดที่ผสมผสานองค์ประกอบของไซเบอร์พังค์ THE MATRIX และ FIGHT CLUB เข้าเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร จะดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผู้ดูเป็นอย่างยิ่ง Mason (Chris Mason THE FADES) เป็นแฮ็กเกอร์ในภารกิจที่จะแฮ็กเป้าหมายสูงสุด นั่นคือสมองของมนุษย์ เขาต้องการสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่และขจัดสงคราม ความเกลียดชัง และความชั่วร้ายโดยทั่วไป ระหว่างทาง เขาได้ปลดปล่อย Finn (Scott Mechlowicz DEMONIC) ให้กลายเป็นอัตตาที่ก้าวร้าวของเขาสู่โลกแห่งความเป็นจริง มันยังทำให้ Eden (Faran Tahir ESCAPE PLAN ) อยู่ในเส้นทางของพวกเขาด้วย Eden มีความคิดแบบเดียวกับ Mason แต่เขาต้องการใช้มันเพื่อทำลายมนุษยชาติ และแน่นอนว่าเขาไม่มีปัญหาในการฆ่าเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น และใครคือซอว์เยอร์ที่สวยงามและลึกลับ (สเปนเซอร์ ล็อค INSIDIOUS: THE LAST KEY, LANDMINE GOES CLICK) ที่คอยล่องลอยเข้าและออกจากชีวิตของเขา และที่สำคัญที่สุด สิ่งเหล่านี้มีจริงหรือไม่ ตามติดต่อ ดูหนัง
เรามาคุยกันถึง Mad Genius หนังไซไฟที่พยายามจะเขย่าวงการด้วยไอเดียที่แปลกใหม่ ไปเลยครับ ผมชอบหลายๆ ด้านของหนังเรื่องนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมีข้อบกพร่องของมันอยู่เหมือนกัน อย่างแรกเลย ไอเดียที่ว่าเราสามารถ แฮ็ก สมองมนุษย์ได้นี่มันสุด ๆ ไปเลย มันเป็นความคิดที่ทำให้คุณต้องหยุดคิดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เคยมีหนังเรื่องไหนที่ทำให้ผมนั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสังคมขนาดนี้มาก่อน รายละเอียดของโลกสมมติในหนังก็เขียนได้ดี แต่เราก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ได้สมบูรณ์แบบ
บางครั้งมันก็ยังรู้สึกว่าเรื่องราวพูดถึงแค่เปลือกนอก ไม่ได้ลงไปถึงรากของปัญหาที่ตัวละครต้องเผชิญ และบางครั้งก็รู้สึกว่าตัวละครหลักแม้จะฉลาดแต่ก็ยังไม่เจาะลึกไปถึงมุมมองทางจิตวิทยาที่น่าสนใจจริงๆ การพัฒนาตัวละครอาจจะทำได้ดีกว่านี้ อย่างไรก็ตาม การแสดงค่อนข้างโดดเด่น ตัวละครที่ได้เห็นบนจอมีชีวิตชีวา และมันก็ชัดเจนว่าทีมผู้สร้างได้ใส่ใจในแต่ละฉากอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ถ่ายทำหรือเอฟเฟกต์ที่ใช้ มันทำให้ แมด จีเนียส มีรสชาติเพิ่มขึ้นและรู้สึกเหมือนเราได้เข้าไปในโลกอนาคตอีกขั้น
เรามาพูดถึงนักแสดงกันครับ ต้องบอกเลยว่าพวกเขาเหล่านี้เข้ากับบทของตัวเองได้ดีมาก ๆ แม้ว่าบางคนอาจจะไม่ใช่หน้าใหม่แต่การแสดงของพวกเขาในเรื่องนี้ก็ยังสามารถทำให้เราเชื่อถือได้ว่าพวกเขาเป็นตัวละครเหล่านั้นจริง ๆ เริ่มจาก Chris Mason ที่รับบทเป็น Mason หัวใจหลักของเรื่อง ที่ไม่ได้แค่แสดงออกถึงความฉลาดและความเป็นไฮเทค เขายังนำเสนอความขัดแย้งภายในของตัวละครที่มีต่อโลกที่เขาพยายามจะเปลี่ยนแปลงไป นี่คือการแสดงที่สะท้อนวิธีคิดและการตัดสินใจของนักแฮ็กสมองที่มีความมุ่งมั่น รองลงมาคือ Spencer Locke ในบท Finn ที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการกระทำของ Mason กับโลกภายนอก นอกจากนี้ยังมีทั้งความสว่างและความมืดที่แฝงอยู่ในตัวละครที่เธอแสดง ความเป็นมนุษย์และความเชื่อมโยงกับ Mason ทำให้ตัวละครของเธอมีมิติที่สะดุดตา
ถัดมาคือ Scott Mechlowicz ที่รับบทเป็น Eden ตัวละครที่เป็นมากกว่าสิ่งที่เห็น ช่วยเสริมประเด็นสำคัญของเรื่องราวและนำเสนออีกมุมมองของการแฮ็กสมอง ตัวละครนั้นมีความลึกลับหลายชั้นที่เมื่อพากย์โดย Mechlowicz มันทำให้หนังน่าจดจำมากขึ้น นอกจากนี้ยังมี Faran Tahir ที่รับบทนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเข้ามาตั้งคำถามและท้าทายความเชื่อของ Mason โดยใช้ประสบการณ์สูงของเขาในวงการหนัง เขาเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับโลกที่ แมด จีเนียส สร้างขึ้นมา แสดงให้เห็นว่าแม้ในโลกของไซไฟ ความจริงทางวิทยาศาสตร์นั้นยังคงจำเป็น รวมแล้วนักแสดงทุกคนทำหน้าที่ได้ดีมาก พวกเขาสามารถนำตัวละครที่มีความซับซ้อนมาสู่ชีวิตได้อย่างน่าเชื่อถือ และทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ไซไฟทั่วไป แต่เต็มไปด้วยการสำรวจทางอารมณ์และจิตวิทยาที่ท้าทาย
หลังจากที่ผมดู แมด จีเนียส จบแล้วนั้น มันทำให้ผมนั่งคิดต่อหลายอย่างเลยครับ หนังพยายามจะเสกสรรค์โลกอนาคตที่น่าตื่นเต้นและท้าทายต่อวิธีคิดเรา แต่มันก็มีส่วนที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้เหมือนกัน อย่างแรกเลย ไอเดียของการแฮ็กสมองมนุษย์นี่เป็นจุดขายที่แรงมาก มันดึงดูดความสนใจผมได้ตั้งแต่เริ่มต้น แต่พอไปๆ มาๆ มันก็รู้สึกยังไงอย่างงั้น ไม่ลึกซึ้งตามที่คาดหวังเอาไว้
ในด้านการแสดงนั้น ผมว่าทีมนักแสดงทำได้ดีเลยล่ะ พวกเขานำเสนอตัวละครที่มีมิติและต้องเผชิญกับคำถามใหญ่เกี่ยวกับมนุษย์และเทคโนโลยีได้น่าสนใจ แต่บางครั้งก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ขาดหายไป ฉากหลายๆ ฉากที่ควรจะชวนให้รู้สึกได้อารมณ์ไม่ค่อยถึงขั้นน่ะ
สำหรับฉากแอคชั่นและวิชวลเอฟเฟกต์ ผมบอกเลยว่า Mad Genius ทำออกมาได้น่าพอใจ มันมีลูกเล่นที่เจ๋ง และโลกที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นมีรายละเอียดและความคิดสร้างสรรค์ซึ่งน่าสนใจไม่น้อย แต่ความแปลกใหม่ของเรื่องราวก็บางครั้งก็ทำให้ตามยากเหมือนกัน โดยรวมแล้วเป็นหนังที่น่าดูสำหรับแฟนไซไฟที่อยากเห็นแง่มุมใหม่ๆ ของเทคโนโลยีและอิทธิพลที่อาจมีต่อสังคม มันมีจุดอ่อนบ้าง แต่ก็เป็นหนังที่โดดเด่นในการเล่าเรื่องและให้จินตนาการไปได้ไกลครับ