ถ้าคุณชอบหนังที่ทำให้หัวใจเต้นแรง และส่วนลึกของใจรู้สึกถึงความหวังและความกล้า “Adrift” เป็นหนึ่งในหนังที่ไม่ควรพลาด เรื่องนี้สร้างจากประสบการณ์จริงของ Tami Oldham ที่เธอเองก็ได้เขียนลงในหนังสือ รวมถึงเหตุการณ์ที่เธอต้องเอาชีวิตรอดหลังจากพายุที่ร้ายแรงในมหาสมุทรแปซิฟิก หนังได้ Baltasar Kormákur มากำกับ ซึ่งเคยมีผลงานการกำกับหนังเอาชีวิตรอดมาก่อน เช่น “Everest” และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังในเรื่องนี้เลย
บัลธาซาร์ คอร์มาเคอร์ คือผู้กำกับที่ยกมากำกับ “Adrift” นี่เองครับ ดูเหมือนว่าเขาจะถนัดในการทำหนังแอ็คชั่นจากผลงานอย่าง “2 Guns” (2013) และ “Contraband” (2012) อยู่แล้ว แล้วพอหันมาทำ “Everest” (2015) ซึ่งก็เป็นหนังแนวเอาชีวิตรอด เข้ามาทำ “แอดริฟท์” ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่หนังจะมีความใกล้เคียงกันในแง่ของแนวเรื่อง ด้วยประสบการณ์ในหนังแอ็คชั่น ทำให้ฉากไคลแมกซ์ เมื่อเรือของทั้งคู่ต้องเผชิญกับเฮอร์ริเคน ออกมาตื่นเต้นและสมจริง การพัฒนาของซีจีในการสร้างภาพคลื่นตั้งแต่ใน “Titanic” มาจนถึง “รักเธอฝ่าเฮอร์ริเคน” ก็ช่วยให้ภาพคลื่นดูสมจริงขึ้นมาก แต่ก็น่าเสียดายที่ฉากเฮอร์ริเคนที่น่าจะเป็นไฮไลท์ของหนังกลับมีระยะเวลาสั้นไปหน่อยครับ
ในส่วนของโทนโรแมนติก อาจจะเป็นเพราะความเชี่ยวชาญของเขาอยู่ที่หนังแอ็คชั่น เลยทำให้ความรักซาบซึ้งของทั้งคู่ในเรื่องนี้อาจจะไม่ถูกถ่ายทอดออกมาได้ชัดเจนนัก แม้ว่าเนื้อเรื่องจะมีโอกาสที่จะดึงอารมณ์และเรียกน้ำตาได้ และหนังก็ใช้เวลาเยอะไปกับช่วงเวลาสวีทๆ ของทั้งคู่ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานที่น่าดู แต่อาจจะยังไม่ถึงขั้นสุดทั้งในด้านความโรแมนติกหรือความเข้มข้นของแอ็คชั่นเท่าที่ควร
ใน “แอดริฟท์” เราได้ติดตามเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อของ Tami Oldham (รับบทโดย Shailene Woodley) หญิงสาวผู้หลงใหลในการเดินทางและ Richard Sharp (รับบทโดย Sam Claflin) นักเดินทางผู้มากด้วยประสบการณ์ เมื่อทั้งคู่พบกัน ชีวิตของพวกเขาดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบเมื่อร่วมใจกันเดินทางเรือทางทะเล แต่ความฝันเริ่มแตกสลายเมื่อพวกเขาตัดสินใจรับงานนำเรือยอชต์จากทาฮิติกลับสหรัฐอเมริกา และถูกพายุที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์จับตัวพวกเขาไว้
หลังจากพายุสงบลง Tami ตื่นขึ้นมาและพบว่า Richard หายไป และเรือของพวกเขาพังพินาศเกือบสิ้นหวัง แต่ด้วยความแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ, ความกล้าหาญ และความรักที่เธอมีต่อ Richard ทำให้ Tami ต้องตัดสินใจที่จะเอาชีวิตรอด นำเสนอเรื่องราวผ่านการย้อนอดีต ทำให้เราเห็นถึงช่วงเวลาที่ทั้งคู่ได้พบกันและเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความสุขและความฝันร่วมกัน
เราได้เห็น Tami ที่ต้องใช้ทักษะและความรู้ที่จำเป็นในการนำทางเรือที่พังเสียหาย เพื่อพาตัวเองกลับไปยังที่ดินแดนให้ได้ ขณะที่เธอต่อสู้กับอาหารและน้ำจำกัด การบาดเจ็บของ Richard และช่วงเวลาที่เกือบจะสิ้นหวัง หนังนี้มากด้วยฉากที่ขโมยหายใจเราไป ทั้งการแสดงความกล้าหาญ และการทำให้เราเรียนรู้ถึงความสำคัญของความหวังและการไม่ยอมแพ้ชีวิต
“แอดริฟท์” เป็นหนังที่พยายามบรรจุเรื่องราวมากมายลงในเวลาแค่ 96 นาทีครับ ตั้งแต่ความรักในอดีตของทั้งคู่ ไปจนถึงเหตุการณ์ก่อนและหลังเจอกับพายุ ทำให้ช่วงเวลา 41 วันที่พวกเขาต้องลอยอยู่กลางทะเลผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน มันดูเหมือนว่าจะขาดการเผชิญกับความยากลำบากที่พวกเขาต้องผ่านมาในแต่ละวัน ไม่ค่อยได้รู้สึกถึงความกดดันและความท้อหรือหมดหวังเหมือนกับหนังเอาชีวิตรอดเรื่องอื่นๆ ที่เคยดูมา ไม่ว่าจะเป็น “Life Of Pi”, “Cast Away”, “Unbroken” ที่แต่ละเรื่องมีความกดดัน ความสิ้นหวังมากกว่าเยอะเลย
ทั้งนี้ “รักเธอฝ่าเฮอร์ริเคน” ก็เป็นหนังที่มีพื้นฐานจากเรื่องจริง ซึ่งน่าจะทำให้หนังมีข้อได้เปรียบในการเล่าเรื่องออกมาได้เข้มข้นและสมจริงกว่า แต่ดูเหมือนว่าผู้เขียนบทเลือกที่จะไม่เน้นไปที่ความลำบากและการเอาชีวิตรอดบนเรือมากนัก แต่กลับค่อนข้างเน้นไปที่ความสัมพันธ์และถ่ายทอดเรื่องราวผ่านความหวาน และมีการหักมุมในช่วงท้ายซึ่งก็นับได้ว่าเซอร์ไพรส์ในระดับหนึ่ง ดังนั้น เราอาจจะบอกได้ว่าหนังเรื่องนี้ให้อะไรบางอย่างได้ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจสูญเสียอะไรบางอย่างไปด้วยนะครับ
ริชาร์ด คือหัวใจหลักที่นำพาเรื่องราวการออกทริปทะเลที่เกือบแปลงเป็นโศกนาฏกรรมใน “แอดริฟท์” แอชคราฟต์มอบความรักที่ไม่มีข้อเงื่อนไขให้กับเขา ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ในหนังสือเธอได้บรรยายถึงความรู้สึกครั้งแรกที่เธอได้พบเขาว่าใจเธอเต้นรัวๆ และหน้าแดงเขินจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เพราะเขามีเสน่ห์ไม่เหมือนใครที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน
เพื่อให้ความสัมพันธ์ในหนังออกมาดูเป็นธรรมชาติ ทีมงานเลือกให้แซม คลาฟลิน เข้ามารับบทเป็นริชาร์ด และทั้งคู่ได้ฝึกซ้อมด้วยกันถึงสองสัปดาห์ก่อนการถ่ายทำจริง เพื่อสร้างความคุ้นเคยและความเข้าใจในบทบาทของพวกเขาเป็นคู่รัก ซึ่งช่วยให้การแสดงของทั้งสองออกมาดูจริงใจ
ความหวานระหว่างริชาร์ดกับทามี่เป็นจุดชนวนที่ทำให้คลาฟลินตัดสินใจเข้าร่วมโปรเจกต์นี้ “ผมเลือกบทบาทโดยอิงจากตัวละครที่ผมอยากเล่น แต่ความพิเศษของเรื่องนี้คือการที่ผมได้อ่านเรื่องราวผ่านมุมมองของทามี่ด้วย ความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้นมาก ทำให้ผมตกหลุมรักและเอาใจช่วยพวกเขา หลังจากที่ผมศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม มันทำให้เรื่องราวน่าติดตามยิ่งขึ้น และผมพบว่ามันง่ายมากที่จะตกหลุมรักเชย์ลีน แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ” คลาฟลินกล่าว
รักเธอฝ่าเฮอร์ริเคน นี่คือหนังผจญภัยเอาชีวิตรอดที่ทำให้คุณติดตามได้ไม่หยุดนะครับ นักแสดงทุกคนใส่ใจและซีเรียสกับการทำงานของตัวเองมาก และทีมงานก็ทุ่มเทหนักหน่วง เพื่อให้การถ่ายทำออกมาสำเร็จ พวกเขาต้องออกเรือไปในทะเลวันละ 2 ชั่วโมง และยังต้องทำงานกลางทะเลอย่างต่อเนื่อง 12 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว ในขณะที่ทีมงานเองก็ต้องเจอกับอาการเมาคลื่นยกทีม ซึ่งก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่งานง่ายเลย
ถึงแม้ว่าฉากแอ็คชั่นอาจไม่ได้ดุเดือดมากนัก และหนังโรแมนติกอาจยังไม่สามารถดึงน้ำตาผู้ชมได้เต็มที่ แต่ถ้าดูในภาพรวม “รักเธอฝ่าเฮอร์ริเคน” ก็เป็นหนังที่ให้ความบันเทิงได้ดีเลยครับ มีจุดเด่นที่การพลิกเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ จนทำให้มันคุ้มค่าแก่เวลาและค่าตั๋วที่จ่ายไป สำหรับใครที่หาหนังดีๆ เพื่อคลายเครียดหรืออยากพบกับเรื่องราวการเอาชีวิตรอดที่มีมิติและบทเรียนเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเลย