พูดถึง 127 Hours นี่ก็เป็นหนังที่จะทำให้คุณชะงักและคิดไปถึงชีวิตของตัวเองเลยล่ะ หนังหยิบเรื่องจริงของนักปีนเขา อารอน รัลสตัน ที่ต้องตัดสินใจอันหนักหน่วงระหว่างชีวิตกับมือของเขาเอง ช่วงเวลาที่เขาถูกขังอยู่นั้นสอนอะไรเราหลายอย่างเลยทีเดียว ชอบอะไรในหนังเรื่องนี้มากมาย แต่ที่สุด ก็คือการที่มันทำให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจตัวละครหลัก และยังทำให้เราได้รู้สึกถึงความอยากมีชีวิตอยู่ที่เขามี
127 ชั่วโมง เป็นหนังที่จะไม่ทำให้คุณลืมได้ง่ายๆ เพราะมันเล่าถึงเรื่องราวสุดพิเศษของอารอน รัลสตัน ใครๆ ก็รู้ว่ามันอิงจากเหตุการณ์จริงที่เขาต้องตัดแขนตัวเองเพื่อเอาชีวิตรอดหลังจากที่ก้อนหินหล่นทับมือของเขาและขังเขาไว้ โดยหนังสารคดีนำผู้ชมไปสู่ Blue John Canyon ณ รัฐยูทาห์ ที่เต็มไปด้วยทิวทัศน์อันสวยงามแต่ก็มีอันตรายซ่อนอยู่ แดนนี่ บอยล์ ผู้กำกับชาวอังกฤษที่เคยสร้างชื่อจากหนังอย่าง “Slumdog Millionaire” และ “Trainspotting” นั้นได้เล่าเรื่องราวนี้ด้วยมุมมองที่จับใจและดึงดูดความสนใจของผู้ชม ตั้งแต่ความตื่นเต้นและความสูงส่งของการผจญภัยไปจนถึงความสิ้นหวังและการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ซึ่งเจมส์ แฟรงโกได้สวมบทบาทนี้อย่างเต็มที่และทำให้ผู้ชมสามารถร่วมรู้สึกไปกับอารอนได้ทุกขั้นตอน
ไม่ได้หยิบเอาเพียงเรื่องราวของอารอนมาบอกเล่า แต่ยังคงถ่ายทอดความรู้สึกและอารมณ์ของเขาตลอดการผจญภัยในยามที่เขาโดดเดี่ยวที่สุด หนังทำรายได้สูงและได้รับการชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดยเฉพาะการแสดงของแฟรงโกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และการกำกับที่ชาญฉลาดของแดนนี่ บอยล์ที่จัดการด้านทั้งภาพและเสียงได้อย่างเยี่ยมยอด ทำให้ 127 ชั่วโมง เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดในปีนั้นและยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมที่แสวงหาความหมายของความเอาชีวิตรอดและความอยากมีชีวิตที่ต่อเนื่องต่อไป
หนัง 127 ชั่วโมง นำเราเข้าสู่การผจญภัยแบบเดี่ยวๆ ของอารอน รัลสตัน ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและชีวิตที่กำลังเปี่ยมล้นด้วยการผจญภัย หนังเริ่มต้นด้วยอารอนที่ออกเดินทางไปยังยูทาห์ด้วยความตื่นเต้นและความหวังว่าจะได้พบกับความท้าทายและความแปลกใหม่ ช่วงเวลาที่เขาพบกับคริสตี้และเมแกนเป็นการนำเสนอความสัมพันธ์ที่ผ่านมาอย่างรวดเร็วและพิสูจน์ให้เห็นว่าอารอนเป็นคนที่รักษาสัมพันธ์กับผู้คนและชอบแบ่งปันประสบการณ์กับผู้อื่น
เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เขาพบกับก้อนหินที่หล่นลงมาและทับมือของเขาไว้ ฉากที่เขาพยายามดิ้นรนเพื่อเอาตัวเองออกจากสถานการณ์นั้นเป็นอะไรที่ทรงพลังและชวนให้สะเทือนใจ ด้วยการถ่ายทอดอารมณ์ที่เจริญเติบโตระหว่างความสิ้นหวังและความหวัง การสูญเสียเวลาและน้ำ และการต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง ทุกช็อต ทุกฉาก ทุกนาทีของอารอนใน 127 ชั่วโมง ทำให้เราเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ของเขา รู้สึกความเจ็บปวด การวิ่งไล่ตามหายใจ และการต่อสู้ที่ไม่มีใครรู้
การเดินทางในห้าวันดูเหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุดสำหรับอารอน การต้องตัดสินใจในสถานการณ์ที่เหมือนกับกับดักนั้นเป็นการทดสอบทั้งกายและใจของเขา นาทีที่เขาตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิงนั้นเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งและยากที่จะบรรยายได้ และสุดท้ายแล้ว 127 ชั่วโมง เป็นเรื่องราวที่ไม่ได้เพียงแค่บอกเล่าว่าอารอนรอดชีวิตมาได้อย่างไร แต่ยังบอกเล่าถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต ทั้งที่เรามีและที่เราเกือบจะสูญเสียไปครับ
ผมต้องนั่งนิ่งและคิดเรื่องราวที่เพิ่งได้สัมผัสมา เรื่องราวของอารอน รัลสตันที่เจมส์ แฟรงโกนำเสนอมานั้นมันเกินกว่าจะเรียกว่าการแสดง มันคือการถ่ายทอดประสบการณ์ที่มีชีวิตอยู่จริง ตั้งแต่เริ่มต้นที่เรารู้สึกถึงพลังของความเป็นหนุ่มสาวที่หลงใหลในการผจญภัย ไปจนถึงการสิ้นหวังที่ชวนให้หัวใจหดหู่ เขาสร้างโลกที่อารอนติดอยู่ในช่องแคบนั้นแบบที่ผู้ชมไม่อาจละสายตาได้ เรารู้สึกถึงทุกอย่างจากความหวังของเขา ความพยายาม ความล้มเหลว และท้ายที่สุดคือการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดที่ผมเชื่อว่าทุกคนต้องได้รับแรงบันดาลใจจากมัน
แดนนี่ บอยล์ สร้าง 127 Hours ขึ้นมาเป็นเพียงไม่แค่หนัง แต่เป็นประสบการณ์ที่ทรงพลังในทุกๆ ช็อต การใช้มุมกล้อง การตัดต่อ และการเลือกเพลงประกอบได้อย่างชาญฉลาดทำให้หนังมีจังหวะที่ไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เบื่อหน่าย เราได้เดินทางไปกับอารอนในทุกขั้นตอนของการทำลายล้างด้านกายภาพและอารมณ์ของเขา มีบางช่วงในหนังที่ยากที่จะรับมือได้ แต่เมื่อเดินทางมาถึงจุดจบ คุณจะรู้สึกว่าการเดินทางนั้นคุ้มค่าเหลือเกิน 127 ชั่วโมง ถือเป็นผลงานสุดยอดจากทั้งผู้กำกับและนักแสดงหลักที่ควรจะได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงครับ
ประสบการณ์ที่เจมส์ แฟรงโกถ่ายทอดออกมาในบทอารอน รัลสตันนั้นมันทรงพลังมาก ๆ การที่เขาคนเดียวเล่นหนังส่วนใหญ่ในแคบ ๆ ระหว่างซอกผาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาทำให้เราเข้าใจลึกซึ้งถึงสถานการณ์สุดอันตรายที่อารอนต้องเผชิญ ส่วนเคท มาร่าและแอมเบอร์ แทมบลินที่รับบทเป็นนักปีนเขาที่อารอนพบเจอ แม้จะมีบทบาทสั้นแต่ก็ช่วยให้เรารู้จักกับอารอนมากขึ้นก่อนที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ท้าทายความมีชีวิตรอด
คลิม เอมฟิลด์ที่รับบทเป็นรานาเป็นอีกตัวละครสำคัญที่ทำให้เราเห็นอีกแง่มุมของอารอน ช่วงเวลาที่เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก่อนที่เขาจะติดอยู่ในช่องคับขาวนั้น ในขณะที่ทรีท วิลเลียมส์และเคท เบอร์ตันที่รับบทเป็นพ่อแม่ของเขาก็ทำให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์และความรักที่ครอบครัวมีให้กันและกัน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของอารอน
ถ้าจะพูดถึงนักแสดง เราต้องเริ่มที่เจมส์ แฟรนโก ที่แสดงเป็น อารอน รัลสตัน ก่อนเลย บอกเลยว่าเขาทำได้สุดยอดมาก ๆ แกหยิบจับประสบการณ์ที่รุนแรงและดราม่าได้อย่างเนียนๆ ไล่ไปจนถึงอารมณ์ที่ลึกซึ้งของตัวละคร ให้เรารู้สึกไปกับมันทุกช็อตเลย เคท มาร่า มาในบท คริสตี้, หนึ่งในสองสาวนักปีนเขาที่อารอนได้เจอ ตัวละครของเธอน่ะดูสบาย ๆ แต่เป็นกุญแจสำคัญที่เปิดเผยมุมมองของอารอนต่อชีวิต ส่วนแอมเบอร์ แทมบลิน ก็มาเป็น เมแกน, อีกหนึ่งนักปีนเขา ทั้งคู่มีเคมีที่ดีกันและกับอารอนในหนังได้อย่างเนียนๆ
แล้วยังมีคลิม เอมฟิลด์ ที่รับบทเป็น รานา, เธอเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนทางอารมณ์ของเรื่อง ทำให้เราเห็นสิ่งที่อารอนสูญเสียไปได้ ทรีท วิลเลียมส์และเคท เบอร์ตัน ที่รับบทเป็นพ่อแม่ของอารอน นั่นคือ ลาร์รี่ และ ดอนนา รัลสตัน พวกเขาสองคนทำให้เราเห็นถึงแรงผลักดันทางจิตใจและความผูกพันทางครอบครัวของอารอน จริงๆ แล้ว มีนักแสดงไม่เยอะมาก แต่แต่ละคนที่เข้ามาก็ทำหน้าที่ได้ดีมากๆ เข้ากับบทบาทและนำเสนอตัวละครให้มีมิติ ทำให้เรื่องราวของอารอนไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด แต่ยังมีความรู้สึกที่ซับซ้อนมากมายที่พวกเขาเผชิญด้วยครับ
พูดตรงๆ นะ 127 Hours มันเป็นหนังที่ต้องมีกะจิตกะใจจริงๆ ถึงจะดูได้ ไม่ใช่เพราะมันแย่อะไร แต่เพราะมันดีมากๆ เลยทีเดียว เรื่องราวของอารอน รัลสตันที่เจมส์ แฟรงโกแสดงนี่มันเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมาจากจอหนัง และผมว่ามันทำให้คนดูได้คิดถึงคุณค่าของชีวิต ความหมายของการเอาชีวิตรอด และทำให้เรานึกถึงสิ่งที่เราถือว่าสำคัญในชีวิต
ส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันเป็นหนังที่ดูแล้วได้อะไรหลายอย่างกลับไปคิด ไม่ใช่แค่เรื่องของการรอดชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการตัดสินใจ การเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่เลวร้ายที่สุด และการค้นพบความแข็งแกร่งในตัวเอง สุดท้ายผมว่าเป็นหนังที่คุณควรจะดูสักครั้ง แล้วเราจะได้เห็นว่าแม้ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด คนเรายังมีพลังที่จะเอาชีวิตรอดและปรับความคิดเพื่อมองหาทางออกให้กับตัวเองอยู่เสมอครับ